วิธีการเลือกลิปสติกสีที่เหมาะกับคุณ
Beauty

คำนึงถึงโทนสีผิวของคุณ  1: ตรวจสีผิวของคุณในแสงธรรมชาติเพื่อวัดระดับผิวพรรณของคุณ: ผิวขาวซีด, ผิวขาวเหลือง, ผิวสองสี, ผิวแทน, ผิวคล้ำ โดยให้เน้นดูที่ผิวบริเวณสันกราม ผิวขาวซีด: ผิวหนังของคุณนั้นซีดหรือใส คุณจะแพ้แดดได้ง่ายมาก ผิวมักจะมีรอยตกกระหรือมีรอยแดง ผิวขาวเหลือง: ผิวของคุณออกขาว เวลาที่ตากแดด ผิวจะไหม้และอาจเป็นสีแทน ผิวสองสี: ผิวคุณจะเป็นสีแทนได้ง่ายและมักจะไม่ค่อยไหม้แดดหรือแพ้อะไรง่ายนัก  ผิวแทน: ผิวคุณจะเป็นสีแทนหรือสีน้ำผึ้ง ผิวคุณนั้นยากจะไหม้แดดและผิวยังดูออกสีแทนแม้ในหน้าหนาว ผิวคล้ำ: สีผิวของคุณนั้นเข้มและคุณจะไม่มีทางเกิดอาการผิวไหม้แดด สีผมก็จะออกดำขลับหรือไม่ก็น้ำตาลเข้ม 2: ดูที่สีของเส้นเลือดใหญ่บริเวณข้อพับ. นี่คือวิธีที่เร็วที่สุดในการตัดสินว่าคุณเป็นคนที่มีโทนสีผิวเป็นแบบโทนอุ่น โทนเป็นกลาง หรือโทนเย็น เส้นเลือดสีน้ำเงินหรือม่วงแสดงว่าคุณเป็นคนมีโทนผิวเย็น เส้นเลือดสีเขียวแสดงว่าคุณเป็นคนมีผิวโทนอุ่น ถ้าคุณมองแล้วตัดสินใจยากว่าเส้นเลือดนั้นออกสีม่วงหรือว่าเขียวกันแน่ คุณก็มีโทนผิวเป็นกลางและสามารถเลือกสีได้จากทั้งโทนอุ่นไปจนถึงเย็น คนที่มีผิวสีน้ำผึ้งมักจะมีผิวโทนเป็นกลาง 3: สังเกตว่าผิวคุณตอบสนองต่อการโดนแดดอย่างไร: ผิวคุณเป็นสีแทนหรือไหม้แดดได้ง่ายหรือไม่? ผิวที่ออกสีแทนได้ง่ายนั้นจะมีสารเมลานินในผิวมากเป็นตัวชี้ว่ามีผิวโทนอุ่น ผู้ใหญ่ผิวดำและพวกที่มีเชื้อสายอินเดียมักตกอยู่ในประเภทนี้ ถ้าหากผิวคุณเกิดไหม้แดดก่อนที่มันจะออกสีแทน (และบางทีผิวคุณอาจไม่มีทางออกสีแทนเลย) งั้นแสดงว่าผิวคุณมีเมลานินน้อยและคุณมีโทนสีผิวเป็นสีน้ำเงิน ถ้าคุณเป็นคนที่มีสีผิวออกคล้ำดำมาก คุณอาจตกอยู่ในประเภทผิวแบบนี้ 4: ลองทาบกับเครื่องประดับที่ทำจากเงินและทอง อย่างไหนจะดูดีกว่ากัน? เครื่องประดับที่ทำจากทองจะดูดีที่สุดบนผิวโทนอุ่น เครื่องประดับที่ทำจากเงินจะดูดีที่สุดบนผิวโทนเย็น ทั้งสองจะดูดีบนผิวโทนเป็นกลาง วิธีนี้จะเป็น “ตัวตัดสิน” ที่ดี ถ้าหากคุณยังตัดสินตามวิธีแต่ละข้อที่บอกไปแล้วไม่ได้สักที   เลือกสีที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน 1: หาสีที่เข้มกว่าสีริมฝีปากปกติของคุณสักเฉดหรือสองเฉด เพื่อจะทดสอบว่าเฉดสีนั้นใกล้เคียงกับสีธรรมชาติของคุณ ให้ทาลิปสติกเฉพาะตรงริมฝีปากล่าง เปรียบเทียบเฉดสีนั้นกับริมฝีปากบน ถ้าเฉดสีนั้นดูแตกต่างกันมากเกินไป คุณก็ต้องตามหาต่อไป 2: ตัดสินใจว่าคุณอยากให้ริมฝีปากดูเรียวบางหรือหนาอวบอิ่มขึ้น. เฉดที่เข้มจะทำให้ริมฝีปากคุณดูเล็กลง ในขณะที่เฉดสีอ่อนจะช่วยเพิ่มความอวบอิ่ม ลิปสติกที่เป็นสีด้านก็ช่วยให้ริมฝีปากดูบางลง ในขณะที่เฉดออกมันวาวจะทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม 3: ดูอันเดอร์โทนกับผิวพรรณของคุณ จำไว้ว่าอันเดอร์โทนกับสีผิวนั้นจะช่วยไกด์คุณ แต่มันไม่ใช่เป็นตัวจำกัดให้เลือกเฉพาะสีลิปสติกที่ว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคือได้ลองเฉดสีต่างๆ และที่สุดคือการเลือกในสิ่งที่ “คุณ” รู้สึกว่าทาแล้วออกมาดูดีที่สุด 4: ทดลองทาเฉดสีที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำตามสีผิวและโทนสีผิวของคุณ ถ้าคุณมีผิวขาวซีดหรือขาวเหลือง ลองสีชมพูอ่อน สีคอรัล สีพีช สีนู้ด หรือสีเบจ ถ้าคุณมีอันเดอร์โทนสีเย็น ลองสีมอคค่าและสีนู้ด อันเดอร์โทนสีอุ่นให้ลองสีชมพูซีดหรือสีนู้ดที่มีสีพีชแซม ถ้าคุณมีผิวสองสี ลองสีโรส สีม่วงซีด หรือสีเบอร์รี่ อันเดอร์โทนสีเย็น: ลองเฉดสีชมพูหรือแครนเบอร์รี่ อันเดอร์โทนสีอุ่น: ทดลองสีทองแดงหรือสีบรอนซ์ดู ถ้าคุณมีผิวแทน พยายามหลีกเลี่ยงสีน้ำตาลกับสีม่วงและให้ดูสีที่มีสีส้มเป็นอันเดอร์โทนแทน สีอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็ดูดี ให้ลองสีคอรัลหรือสีชมพูจัด คุณมีผิวคล้ำ ให้ลองสีน้ำตาลหรือม่วงอย่างสีวอลนัท สีคาราเมล สีพลัม และสีไวน์  อันเดอร์โทนสีเย็นควรมองหาสีแดงทับทิมและแดงไวน์ อันเดอร์โทนสีอุ่นลองทองแดงกับบรอนซ์  

2022-03-02 14:36:55

อ่านเพิ่มเติม
ขั้นตอนการลงสกินแคร์อย่างถูกต้อง
Beauty

ขั้นตอนที่ 1 : Makeup Remover เราต้องมาเริ่มกันที่การคลีนผิวหน้าก่อนเลยค่ะ ในตอนกลางคืนเราก็อาจจะต้องใช้ Makeup Remover ในการเช็ดเครื่องสำอาง ฝุ่น หรือสิ่งสกปรกบนใบหน้ากันก่อน เพราะทั้งวันเราเจอมลภาวะ สิ่งสกปรกเยอะมาก ควรจะเช็ดออกให้หมด แต่ในตอนเช้าอาจจะไม่ต้องใช้ตัวนี้นะคะ ส่วนในเรื่องการเลือก Makeup Remover เราก็แนะนำว่าให้เลือกตัวที่เหมาะกับสภาพผิวเราค่ะ และควรจะแยกใช้ตัวที่เช็ดเฉพาะส่วนอย่างรอบดวงตา และริมฝีปากด้วย เพราะเค้าเป็นส่วนที่บอบบางมาก อาจจะระคายเคืองได้ง่าย ขั้นตอนที่ 2 : Cleanser หลังจากเช็ดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกบนใบหน้าไปแล้ว ต่อไปเราก็ต้องมาล้างหน้ากันค่ะ และ Facial Cleanser ก็มีหลากหลายแบบมาก ทั้งเป็นโฟม เป็นเจล หรือแม้แต่สบู่ ดังนั้นเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของเรา ขั้นตอนที่ 3 : Toner หลังจากทำความสะอาดใบหน้าแล้ว เราก็จะลง Toner เพื่อเปิดรูขุมขน และปรับสภาพผิวให้พร้อมรับการบำรุงต่อ เพื่อให้สกินแคร์ที่เราใช้หลังจากนี้ซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น แถมยังช่วยสร้างสมดุลให้กับผิวหน้าของเราด้วยค่ะ ถ้าใครยังสงสัยในเรื่องของโทนเนอร์ & คลีนซิ่งต่างกันอย่างไร ขั้นตอนที่ 4 : Spot Treatment ต่อไปจะเป็นการบำรุงผิวเฉพาะจุด หรือ Spot Treatment ค่ะ บำรุงผิวเฉพาะจุดก็จะเป็นจำพวกครีมทาสิว ครีมทารอยจุดด่างดำ รอยแผลต่างๆ ที่เราต้องการการบำรุงแบบเฉพาะจุดนั่นเองค่า สาเหตุที่เราต้องทาเฉพาะจุดก่อนลงสกินแคร์ตัวอื่น เพราะว่าควรให้เนื้อสกินแคร์สัมผัสกับผิวโดยตรงมากที่สุด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุดนั่นเองค่ะ ขั้นตอนที่ 5 : Eye Cream เราคิดว่าอายครีมอาจจะเป็นหนึ่งใน List ของการทาสกินแคร์เฉพาะจุดด้วยนะการทาอายครีมก็สำคัญมากนะคะเพราะหากใต้ตาดำจะทำให้ดูไม่มีชีวิตชีวาและดูอ่อนล้า ขั้นตอนที่ 6 : Essence/Serum บางคนก็จะมีตัว Pre-essence ลงก่อน เพื่อปรับสภาพผิวอีกครั้งหลังจากเช็ดโทนเนอร์ ขั้นตอนนี้ก็ถือว่ามีความสำคัญมากเลยนะคะทุกคน เพราะหลายๆตัวเค้ามีคุณสมบัติช่วยให้ใบหน้าเราสามารถรับการบำรุงเพิ่มมากขึ้น แถมยังทำให้ผิวชุ่มชื่นอิ่มน้ำด้วยค่ะ ขั้นตอนที่ 7 : Day/Night Cream เนื่องจากว่าเนื้อครีมส่วนมากจะมีความเข้มข้น และหนาแน่นที่สุด เราเลยต้องใช้ในขั้นตอนท้ายๆของการลงสกินแคร์ และขั้นตอนนี้แหละที่ทำให้ผิวหน้าเราได้รับการบำรุงสูงสุด อย่าลืมเลือกครีมให้เหมาะกับปัญหา และสภาพผิวของเรา ขั้นตอนที่ 8 : Sunscreen ขั้นตอนนี้ข้ามไปไม่ได้เลยเพราะสำคัญมาก หากไม่ทากันแดดผิวเราจะไหม้ เสีย และทำให้เกิดฝา กระ หากไม่ทาและต้องอยู่ในที่แดดแรงอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ดังนั้น ขั้นตอนนี้สำคัญมากลืมไม่ได้เลยนะคะ    

2022-02-28 10:46:00

อ่านเพิ่มเติม
แชร์ 4 เทคนิคทาครีมกันแดดให้ถูกต้อง
Beauty

แชร์ 4 เทคนิคทาครีมกันแดดให้ถูกต้องสั้นๆเข้าใจง่าย 1. เลือกครีมกันแดดให้เหมาะสม:  วิธีการเลือกครีมกันแดดนั้นควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถกันได้ทั้ง UVA ที่ทำให้เกิดริ้วรอย และ UVB ที่เป็นตัวการทำให้ผิวคล้ำ SPF ที่เราเห็นเขียนข้างผลิตภัณฑ์บ่อยๆ ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ด้วยเหมือนกัน โดย SPF หรือ Sun Protection Filter เป็นค่าบ่งบอกการป้องกันรังสี UVB แต่ละตัวก็จะมีค่าต่างกันออกไป 2.  ทา 2 ข้อนิ้วชี้ 10 บาท: ทากันแดดที่ตัวยังพอได้ แต่เมื่อเริ่มทาบริเวณใบหน้าบางคนก็อาจสงสัยว่าต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่ เพราะการทากันแดดหากไม่ใช้ปริมาณที่เพียงพอ ครีมกันแดดก็ทำงานได้ไม่เต็มที่เหมือนกัน เพื่อให้ได้ปริมาณ SPF ตามที่เขียนไว้ตามหน้าขวด วิธีที่ดีที่สุดคือควรทาที่ปริมาณ 2 ข้อนิ้วชี้ 1 เหรียญ 10 บาท โดย ถ้าเนื้อผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นสูตรครีม ให้ทาความยาวเท่ากับ 2 ข้อนิ้วชี้ และหากเป็นสูตรน้ำให้บีบลงฝ่ามือมีความกว้างเท่าเหรียญ 10 บาท 1 เหรียญ สูตรนี้เป็นปริมาณที่บริเวณใบหน้าอย่างเดียวนะไม่ได้รวมบริเวณคอแต่อย่างใด 3. ทาก่อนออกข้างนอก 15 นาที:  หลังจากทาครีมกันแดดเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งรีบร้อนออกจากบ้านก่อน ควรรออย่างน้อย 15 – 30 นาที เพื่อให้เนื้อครีมเซตตัวให้ติดกับผิวมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ไหลไปพร้อมกับเหงื่อหรือน้ำที่จะลดประสิทธิภาพของตัวกันแดดที่เราใช้ เพราะฉะนั้นก่อนจะออกไปไหนต้องกะเวลาทาให้ถูกด้วย 4. เติมครีมกันแดดทุก 2 ชั่วโมง:   แดดที่เปรี้ยงปร้าง และเหงื่อเป็นตัวการที่ทำให้ประสิทธิภาพของครีมกันแดดลดลง เมื่อออกไปไหนอย่าลืมพกหลอดเล็กๆไว้เติมระหว่างวันด้วย ถ้าไม่ได้เจอแดดมากๆ แนะนำให้ทาในช่วงกลางวันเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าหากอยากได้ความมั่นใจจริงๆ ก็ควรทาทุกๆ  2 ชั่วโมงเพื่อให้ผิวของเราได้รับเกราะป้องกันอย่างเต็มที่ และอย่าลืมล้างมือทุกครั้งก่อนทาครีมกันแดดเพื่อลดการเกิดสิวจากสิ่งสกปรก

2022-02-21 11:07:47

อ่านเพิ่มเติม