ภูมิคุ้มบำบัดรักษามะเร็ง

ภูมิคุ้มกันบำบัดที่นำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ตามกลไกการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ดังนี้

  • โมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies) เป็นโปรตีนสังเคราะห์เลียนแบบสารภูมิต้านทานที่เป็นโปรตีนของระบบคุ้มกันของร่างกาย ในการรักษามะเร็ง แอนติบอดีจะได้รับการพัฒนาให้มีความจำเพาะและออกฤทธิ์ต่อมะเร็งชนิดนั้นๆ
  • ยับยั้งการทำงานที่อิมมูนเช็คพอยต์ (Immune Checkpoint Inhibitors) มีกลไกทำงานโดยยับยั้งระบบควบคุมและสั่งการให้มีการทำลายเซลล์แปลกปลอมหรือหยุดการทำลายเซลล์ของร่างกาย (Immune Checkpoint) เพราะบางกรณีเซลล์มะเร็งจะอาศัยระบบนี้ในการ “ซ่อนตัว” จากการถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยากลุ่มนี้จึงได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันตรวจจับเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น
  • วัคซีนโรคมะเร็ง (Cancer Vaccines) วัคซีนโรคมะเร็งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถทำลายเซลล์มะเร็ง หรือปกป้องร่างกายให้ปลอดจากมะเร็งได้ อาทิ วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
  • ภูมิคุ้มกันบำบัดแบบไม่จำเพาะ (Non-specific Immunotherapies) ภูมิคุ้มกันบำบัดประเภทนี้ไม่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อมะเร็งโดยตรง แต่เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยทั่วไป เพื่อให้ตอบสนองต่อเซลล์มะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข่าวสารแนะนำ
...
การลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด

การลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด ระบบการทำงานภายในร่างกายก็แตกต่างกันไปตามกรุ๊ปเลือด ซึ่งการจะ ลดน้ำหนัก หรือเลือก กินอาหาร นั้น ก็ควรเลือกให้เหมาะหรือสมดุลกับกรุ๊ปเลือดค่ะ เพราะจะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้ร่างกายมีความสมดุลมากขึ้นด้วย กรุ๊ป A ร่างกายของสาวกรุ๊ป A จะย่อยโปรตีนจากสัตว์ค่อนข้างยาก แต่สามารถย่อยคาร์โบไฮเดรตได้ดี อีกทั้งคนกรุ๊ป A ยังมี Stress Hormone หรือฮอร์โมนความเครียดค่อนข้างสูง ซึ่งถ้าเครียดเมื่อไหร่ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนนี้ออกมามากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้ล่ะค่ะจะไปกระตุ้นเซลล์ในร่างกายให้เก็บไขมันมากขึ้น ที่สำคัญร่างกายจะรู้สึกอยากอาหารโดยเฉพาะอาหารที่เป็นไขมันมากขึ้นด้วย ฉะนั้นบอกเลยค่ะว่า คนกรุ๊ปนี้ ยิ่งเครียด ก็จะยิ่งอ้วน! ซึ่ง การลดน้ำหนักที่ดีที่สุดของคนกรุ๊ป A ก็คือการกินผักผลไม้ให้มากขึ้น นั่นเองค่ะ อาหารที่ควรกิน: ผักใบเขียว, บล็อคโคลี, แครอท, ผักกาดหอม, กระเทียม, คะน้า, หอมใหญ่, ฟักทอง, ผักโขม, ผักชี, หัวไชเท้า, น้ำมันที่สกัดจากผัก เช่น น้ำมันมะกอก, ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแมคเคอเรล ปลากระพงแดง ปลากระพงขาว ปลาแซลมอน, ถั่ว, ข้าวโอ๊ต, เมล็ดฟักทอง, ผลไม้ประเภทเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ เชอร์รี่, น้ำผลไม้ เช่น สับปะรด พรุน แครอท และชาสมุนไพร เช่น จินเส็ง ชาเขียว ชาคาร์โมมายล์ อาหารที่ควรเลี่ยง: เนื้อสัตว์สีแดง, นม, โยเกิร์ต, ไข่, กระหล่ำปลี, มะเขือยาว, มะเขือเปราะ, มะเขือเทศ, มันฝรั่ง คนกรุ๊ป B:มีระบบย่อยอาหารที่ค่อนข้างสมดุลมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่นๆ ค่ะ สามารถกินอาหารได้หลากหลายประเภทหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ นม ไข่ หรือผักต่างๆ แต่ที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ เนื้อไก่ เพราะเป็นอาหารที่มีเลคตินโปรตีนค่อนข้างสูง ซึ่งหากมีเลคตินมากจะเป็นอันตรายต่อระบบเลือดได้ค่ะ ฉะนั้น การลดน้ำหนักที่ดีที่สุดของกรุ๊ป B ก็คือ การกินอาหารทุกอย่างอย่างสมดุล นั่นเองค่ะ อาหารที่ควรกิน: อาหารประเภทนม เนย และไข่ แต่ควรเน้นแบบ Low Fat, ผักสีเขียวทั้งหลาย, ปลาน้ำลึก เช่น ปลาหิมะ ปลาจาระเม็ด, น้ำนมข้าว, ข้าวโอ๊ต, น้ำมันมะกอก และผลไม้เกือบทุกชนิด อาหารที่ควรเลี่ยง: เนื้อหมู เนื้อไก่ หอยเชลล์ เพราะมีเลคตินโปรตีนที่อันตรายต่อระบบเลือดและสมอง, ถั่วต่างๆ และอาหารทุกชนิดที่ทำจากแป้งสาลี ข้าวโพด เพราะไม่ดีต่อระบบเผาผลาญ ผักและผลไม้ที่ควรเลี่ยง เช่น มะเขือเทศ ข้าวโพด มะเฟือง ทับทิม เพราะมีผลต่อระบบย่อยอาหาร  คนกรุ๊ป O:ควรลดน้ำหนักด้วยการกินอาหารที่มีโปรตีนและไอโอดีนสูง เช่น อาหารทะเล หรือสาหร่ายทะเลเพิ่มขึ้น  อาหารที่ควรกิน: เนื้อแดง, อาหารทะเล เพื่อป้องกันโรคไทรอยด์และอาการเลือดไม่แข็งตัว (แต่ควรระวังเรื่องคอเลสเตอรอลด้วยนะคะ) ผักต่างๆ ที่ดีมาก คือบล็อคโคลี และถั่วกินได้เกือบทุกชนิด, ชาสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ชาขิง, ผลไม้กินได้เกือบทุกชนิด ยกเว้น ส้ม อาหารที่ควรเลี่ยง: เนื้อหมู, แฮม, ผักตระกูลกะหล่ำ เพราะมีผลต่อไทรอยด์, อาหารที่ทำจากแป้งสาลี เพราะมีผลต่อการย่อยอาหาร, น้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี, ชาและกาแฟ เพราะจะยิ่งเพิ่มกรดในระบบย่อยอาหาร  กรุ๊ป AB: มีลักษณะที่เป็นส่วนผสมของคนกรุ๊ป A และ กรุ๊ป B เข้าด้วยกันค่ะ โดยมีกรดในกระเพาะต่ำเหมือนสาวกรุ๊ป A แต่สามารถกินอาหารได้หลากหลายเหมือนสาวกรุ๊ป B ฉะนั้น การลดน้ำหนักที่ดีของสาวกรุ๊ปนี้ จึงต้องเป็นการกินผักหรือมังสวิรัติหน่อยๆ ผสมผสานไปกับการกินให้สมดุลแบบสาวกรุ๊ป B และการออกกำลังกายที่เหมาะกับคนกรุ๊ป AB นั้นจะเป็นประเภทแอโรบิก หรือการออกกำลังกายแบบเบาๆ อย่างโยคะ จึงจะให้ผลดีที่สุดค่ะ อาหารที่ควรกิน: ปลาต่างๆ ยกเว้น ปลาเนื้อขาว, นม, เนย, ไข่, โยเกิร์ต และชีสสามารถกินได้ แต่ในปริมาณที่พอเหมาะ, ข้าวโอ๊ต, อาหารต่างๆ ที่ทำจากแป้งสาลี, ผักกินได้เกือบทุกชนิด เน้นบล็อคโคลี แตงกวา และผักใบเขียว, เห็ด, กระเทียม, ผลไม้ที่ควรกิน เป็นพวกองุ่น เชอร์รี่ สับปะรด เลมอน กีวี จะช่วยย่อยและล้างลำไส้, ชาสมุนไพร เช่น ชาเขียว ชาคาโมมายล์ อาหารที่ควรเลี่ยง: เนื้อสัตว์ประเภทเนื้อวัว เนื้อหมู ปลาหมึก เป็ด ห่าน เพราะย่อยยาก, ถั่ว ข้าวโพด แป้งข้าวโพด เพราะจะไปชะลอการทำงานของอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดอาจลดลงได้อย่างเฉียบพลัน, ผลไม้ เช่น มะม่วง ฝรั่ง กล้วย มะพร้าว อะโวคาโด, พริกไทยดำ, น้ำส้มสายชู, เครื่องดื่มอัดแก๊สและโซดา

2022-02-28 10:45:11

...
5 สูตรเครื่องดื่มช่วยเผาผลาญ

5 สูตรเครื่องดื่มช่วยเผาผลาญ น้ำผึ้ง + อบเชย      น้ำผึ้งมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำหนัก และเมื่อดื่มในขณะท้องว่างยามเช้า ก็จะเป็นการช่วยเร่งระบบเผาผลาญของร่างกาย ซึ่งการเผาผลาญถือเป็นสิ่งสำคัญในการลดน้ำหนักเลยก็ว่าได้ค่ะ ในขณะที่ชินนามอนหรืออบเชย ก็ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนผสมในการช่วยเผาผลาญไขมันได้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน วิธีทำ ใส่ผงชินนามอนหรืออบเชยลงในแก้ว เติมน้ำผึ้งลงไป ใส่น้ำอุ่นลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากัน อบเชย + ชาเขียว      อบเชยยังถือได้ว่าเหมาะกับชาเขียวด้วยเช่นกันค่ะ ซึ่งเมื่อดื่มด้วยกันแล้วจะช่วยลดอาการผิดปกติของระบบย่อยอาหารและกระเพาะอาหารได้ดี อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการย่อย สลายและดูดซับสารอาหาร รวมถึงยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและบำรุงสุขภาพหัวใจได้อีกด้วยค่ะ วิธีทำ แช่อบเชยแท่งในน้ำชาเขียวร้อน ประมาณ 5 นาที สามารถใส่มะนาวหรือน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มรสชาติได้ กรองเยื่อออก จนได้น้ำชาใสพร้อมดื่ม ชาเขียว + ขมิ้น      ชาเขียวเมื่อดื่มคู่กับขมิ้นก็มีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้ดีเช่นกันค่ะ รวมถึงยังช่วยดีท็อกซ์ร่างกายและต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย เพราะชาเขียว เรียกได้ว่าอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาชนิดอื่นๆ นั่นเอง อีกทั้งดื่มแล้วยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ดี จึงทำให้สามารถช่วยลดน้ำหนักได้นั่นเองค่ะ วิธีทำ ต้มชาเขียว ประมาณ 5 นาที แล้วพักไว้ให้เย็น ใส่ผงขมิ้นลงไป แล้วคนให้เข้ากัน สามารถใส่อบเชย หรือ โป๊ยกั๊ก ลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติได้ กรองเยื่อออก จนได้น้ำชาใสพร้อมดื่ม ขมิ้น + พริกไทย      ขมิ้นยังสามารถจับคู่กับพริกไทยได้ด้วยนะคะ บอกเลยว่าประโยชน์เพียบ ดื่มแล้วดีต่อสุขภาพ สามารถช่วยในเรื่องของการย่อยอาหาร ลดอาการอักเสบต่างๆ รวมถึงยังช่วยต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่เรียบง่ายแต่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายได้ดีสุดๆ ค่ะ วิธีทำ ต้มน้ำ 300-500 มล. ให้อุ่น ใส่ขมิ้นและพริกไทยลงไป สามารถใส่มะนาวเพื่อเพิ่มรสชาติได้ คนจนส่วนผสมเข้ากัน   สับปะรด + ชาเขียว      ชาเขียวยังสามารถจับคู่กับผลไม้อย่างสับปะรดได้ด้วยนะคะ เรียกได้ว่าดื่มแล้วมีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้ดีสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ เนื่องจากส่วนผสม 2 อย่างนี้จะช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้ไม่ต้องกินเยอะจนเสี่ยงน้ำหนักขึ้น รวมถึงยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ เร่งการลดน้ำหนักได้อีกด้วย วิธีทำ เติมชาเขียวอุ่นๆ ครึ่งถ้วย ลงในน้ำสับปะรดครึ่งถ้วยตวง สามารถใส่แอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ช้อนชาได้เพื่อเพิ่มรสชาติ แนะนำให้ดื่มตอนชากำลังอุ่นๆ  

2022-02-28 10:44:05

...
เลือกกีฬาตามช่วงอายุ

เลือกกีฬาตามช่วงอายุ วัยเด็ก อายุ 1-10 ปี    กล้ามเนื้อและกระดูกยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ออกกำลังกายติดต่อกันได้ไม่นานก็จะรู้สึกเหนื่อย ร่างกายต้องการพักผ่อนมาก ชอบการอยู่รวมเป็นกลุ่ม เล่นกับเพื่อนหลายๆคน     กีฬาที่เหมาะ ควรให้ทำร่วมกันเป็นหมู่คณะ เน้นกิจกรรมที่ให้เด็กได้ฝึกใช้ความสัมพันธ์ของมือ สายตา เท้า และได้เคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา เช่น วิ่ง กายบริหาร เกมเบ็ดเตล็ด ปีนป่าย ว่ายน้ำ ยืดหยุ่น เป็นต้น วัยรุ่น อายุ 11-16 ปี    ร่างกายเด็กกำลังเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มสาว โดยเด็กผู้หญิงจะมีพัฒนาการทางกายมากกว่าเด็กผู้ชายในระยะเริ่มต้น แต่ในช่วงปลายเด็กผู้ชายจะเจริญเติบโตมากกว่า ด้านจิตใจ เด็กวัยนี้จะเริ่มจับกลุ่มโดยแยกหญิง-ชาย และชอบกิจกรรมที่ต้องแข่งขัน ชอบการผจญภัย    กีฬาที่เหมาะ เน้นความคล่องแคล่ว ว่องไว หรือฝึกให้ใช้ทักษะเฉพาะอย่าง เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล แบดมินตัน  วัยหนุ่มสาว อายุ 17-35 ปี    ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างสมบูรณ์แบบและไม่จำกัด แต่สมรรถภาพทางร่างกายจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าได้รับการดูแลอย่างไรในวัยเด็ก ผู้ที่ต้องการเป็นนักกีฬาสามารถฝึกร่างกายและทักษะทางการกีฬาได้อย่างเต็มที่ ทุกรูปแบบในช่วงนี้ วัยกลางคน อายุ 36-55 ปี    ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น ต้องการการพักผ่อนมากขึ้น ความทนทานของร่างกายเริ่มลดลง กีฬาที่เหมาะ ควรเป็นกิจกรรมที่เคลื่อนไหวที่ช้า เน้นความเพลิดเพลิน ความสบายใจ และปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น จ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน กายบริหารต่างๆ วัยสูงอายุ อายุตั้งแต่ 56 ปี ขึ้นไป    เริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุ สมรรถภาพทางกายโดยรวมลดลง สภาพจิตใจจึงแย่ตามไปด้วย ควรเน้นการออกกำลังกายที่ฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรง หรือรักษาสุขภาพโดยรวมให้ดีอยู่เสมอ เพราะจะช่วยให้ผู้สูงอายุได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สภาพจิตใจจะสดชื่น แจ่มใสขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วย    กีฬาที่เหมาะ ควรเป็นกิจกรรมเบาๆ ไม่มีการปะทะ เคลื่อนไหวร่างกายอย่างราบรื่น ไม่มีเปลี่ยนจังหวะหรือทิศทางกะทันหัน เช่น เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ไทเก็ก โยคะ พีลาทิส เต้นแอโรบิกแบบแรงกระแทกต่ำ( low impact) เป็นต้น เลือกกีฬาตามหลักสรีระ    ชายและหญิงมีความแตกต่างกันทั้งทางกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา ตอนเป็นเด็ก อายุ 2-10 ปี ความสามารถทางกีฬาอาจไม่แตกต่างกันมาก แต่พออายุ 10-14 ปี ร่างกายผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อมากขึ้น กระดูกใหญ่และแข็งแรงกว่า    ในขณะที่ผู้หญิงก็เริ่มมีประจำเดือน บางครั้งก็ปวดท้อง หงุดหงิดง่าย รูปแบบของการออกกำลังกายของผู้หญิงจึงควรเป็นแนวเพื่อสุขภาพ และทรวดทรงที่สวยงามมากกว่าการแข่งขัน เช่น ว่ายน้ำ ยิมนาสติก เต้นแอโรบิก โยคะ แบดมินตัน เป็นต้น ส่วนเพศชายสามารถเลือกเล่นกีฬาได้ทุกรูปแบบ

2022-02-28 10:43:06

...
แชร์ 4 เทคนิคทาครีมกันแดดให้ถูกต้อง

แชร์ 4 เทคนิคทาครีมกันแดดให้ถูกต้องสั้นๆเข้าใจง่าย 1. เลือกครีมกันแดดให้เหมาะสม:  วิธีการเลือกครีมกันแดดนั้นควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถกันได้ทั้ง UVA ที่ทำให้เกิดริ้วรอย และ UVB ที่เป็นตัวการทำให้ผิวคล้ำ SPF ที่เราเห็นเขียนข้างผลิตภัณฑ์บ่อยๆ ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ด้วยเหมือนกัน โดย SPF หรือ Sun Protection Filter เป็นค่าบ่งบอกการป้องกันรังสี UVB แต่ละตัวก็จะมีค่าต่างกันออกไป 2.  ทา 2 ข้อนิ้วชี้ 10 บาท: ทากันแดดที่ตัวยังพอได้ แต่เมื่อเริ่มทาบริเวณใบหน้าบางคนก็อาจสงสัยว่าต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่ เพราะการทากันแดดหากไม่ใช้ปริมาณที่เพียงพอ ครีมกันแดดก็ทำงานได้ไม่เต็มที่เหมือนกัน เพื่อให้ได้ปริมาณ SPF ตามที่เขียนไว้ตามหน้าขวด วิธีที่ดีที่สุดคือควรทาที่ปริมาณ 2 ข้อนิ้วชี้ 1 เหรียญ 10 บาท โดย ถ้าเนื้อผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นสูตรครีม ให้ทาความยาวเท่ากับ 2 ข้อนิ้วชี้ และหากเป็นสูตรน้ำให้บีบลงฝ่ามือมีความกว้างเท่าเหรียญ 10 บาท 1 เหรียญ สูตรนี้เป็นปริมาณที่บริเวณใบหน้าอย่างเดียวนะไม่ได้รวมบริเวณคอแต่อย่างใด 3. ทาก่อนออกข้างนอก 15 นาที:  หลังจากทาครีมกันแดดเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งรีบร้อนออกจากบ้านก่อน ควรรออย่างน้อย 15 – 30 นาที เพื่อให้เนื้อครีมเซตตัวให้ติดกับผิวมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ไหลไปพร้อมกับเหงื่อหรือน้ำที่จะลดประสิทธิภาพของตัวกันแดดที่เราใช้ เพราะฉะนั้นก่อนจะออกไปไหนต้องกะเวลาทาให้ถูกด้วย 4. เติมครีมกันแดดทุก 2 ชั่วโมง:   แดดที่เปรี้ยงปร้าง และเหงื่อเป็นตัวการที่ทำให้ประสิทธิภาพของครีมกันแดดลดลง เมื่อออกไปไหนอย่าลืมพกหลอดเล็กๆไว้เติมระหว่างวันด้วย ถ้าไม่ได้เจอแดดมากๆ แนะนำให้ทาในช่วงกลางวันเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าหากอยากได้ความมั่นใจจริงๆ ก็ควรทาทุกๆ  2 ชั่วโมงเพื่อให้ผิวของเราได้รับเกราะป้องกันอย่างเต็มที่ และอย่าลืมล้างมือทุกครั้งก่อนทาครีมกันแดดเพื่อลดการเกิดสิวจากสิ่งสกปรก

2022-02-21 11:07:47