โรค เมลิออยโดลิส คืออะไร!

Melioidosis โรคเมลิออยด์ หรือเมลิออยโดสิส

เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ปนเปื้อนได้ในน้ำและดิน แพร่กระจายสู่คนผ่านการสัมผัสเชื้อโดยตรงหรือโดยการติดต่อจากสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น สุนัข แมว หมู ม้า วัว ควาย แกะ แพะ เป็นต้น พบอัตราการป่วยมากที่สุดในช่วงฤดูฝน โดยในประเทศไทยจะพบมากในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ ยังถือว่าเป็นโรคที่มีอัตราการป่วยตายสูง

อาการของโรคเมลิออยด์

โรคเมลิออยด์เกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะและมักแสดงอาการที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับอวัยวะภายในร่างกายที่มีการติดเชื้อ ดังนี้

1.การติดเชื้อที่ปอด เกิดจากการสูดดมเชื้อเข้าไป ซึ่งเป็นรูปแบบการติดเชื้อที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคนี้ โดยการติดเชื้อที่ปอดนั้นอาจจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้มีฝีหนองในปอดตามมาอาการที่ปรากฏ 

2. การติดเชื้อเฉพาะที่เฉียบพลัน เป็นการติดเชื้อเฉพาะตำแหน่งที่สัมผัสเชื้อโรค หากเป็นที่ผิวหนังจะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อมีอาการเจ็บ บวม มีแผลเปื่อยสีออกขาวเทา และอาจเกิดเป็นหนอง รวมถึงส่งผลให้มีอาการไข้และเจ็บกล้ามเนื้อตามมา แต่หากติดเชื้อที่ต่อมน้ำลาย ต่อมน้ำลายจะอักเสบบวม โต เจ็บ อาจเกิดหนอง หรือหากเชื้อเข้าตาจะส่งผลให้เยื่อตาอักเสบ 

3. การติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้ป่วยด้วยโรคที่มีความเสี่ยงต่อเชื้อเมลิออยด์ เช่น โรคเบาหวาน ภาวะไตวาย หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะติดเชื้อลักษณะนี้มากที่สุด มักทำให้เกิดอาการช็อก และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง

4. เชื้อกระจายทั่วร่างกาย เชื้อเมลิออยด์สามารถแพร่กระจายจากผิวหนังผ่านเลือดไปสู่อวัยวะอื่น ๆ จนกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังที่อาจส่งผลต่อหัวใจ สมอง ตับ ไต ม้าม ต่อมลูกหมาก ข้อต่อ ต่อมน้ำเหลือง กระดูก และดวงตา ซึ่งการติดเชื้อเหล่านี้อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลันหรือเรื้อรังก็ได้

สาเหตุของโรคเมลิออยด์

การติดเชื้อโรคเมลิออยด์มีสาเหตุจากแบคทีเรีย Burkholderia Pseudomallei ซึ่งพบได้ในน้ำ ดิน หรือตามพืชพันธ์ุต่าง ๆ แบคทีเรียชนิดนี้อาจติดต่อสู่มนุษย์โดยตรงผ่านการสัมผัสหรือแพร่ผ่านสัตว์เลี้ยงทีมีเชื้อนี้อยู่ในร่างกายอย่างแมว สุนัข หมู ม้า วัว ควาย แกะ หรือแพะก็ได้ โดยเฉพาะการสัมผัสกับเชื้อบริเวณผิวหนังที่มีแผลเปิดนั้นเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อสูง

การรักษาโรคเมลิออยด์

โรคเมลิออยด์รักษาได้ด้วยการใช้ยาที่เหมาะสมกับตำแหน่งของการติดเชื้อและโรคประจำตัวของผู้ป่วย ซึ่งผลการรักษาระยะยาวจะขึ้นอยู่กับชนิดของการติดเชื้อและการรักษาที่เลือกใช้ โดยทั่วไปมักเริ่มรักษาด้วยการฉีดยาต้านจุลชีพเข้าเส้นเลือดนาน 10-14 วัน ตามด้วยการให้ยาต้านจุลชีพชนิดรับประทานต่อเนื่องนาน 3-6 เดือน สำหรับยาฉีดเข้าเส้นเลือดอาจให้เซฟตาซิดิม (Ceftazidime) ทุก 6-8 ชั่วโมง หรือให้เมอโรเพเนม (Meropenem) ทุก 8 ชั่วโมง ส่วนยาชนิดรับประทานนั้นอาจใช้ไตรเมโทพริม ซัลฟาเมธอกซาโซล (Trimethoprim-Sulfamethoxazole) หรือดอกซีไซคลีน (Doxycycline) โดยรับประทานทุก 12 ชั่วโมง ทั้งนี้การเลือกใช้ยาต้านจุลชีพนั้นขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา นอกจากการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพแล้ว ยังต้องประคับประคองรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้เมื่อมีไข้ การให้ยาแก้ปวดเมื่อมีอาการปวด การให้ออกซิเจนช่วยหายใจ การใส่ท่อช่วยหายใจเมื่อมีปัญหาการหายใจ และการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเมื่อกินได้น้อย หรือในบางรายอาจต้องผ่าตัด เช่น การผ่าตัดระบายหนองในข้อ หนองในปอด หรือหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด เป็นต้น ทั้งนี้โรคเมลิออยด์ที่ไม่ได้รับการรักษาจะมีความรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ และเมื่อรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแล้ว ผู้ป่วยโรคเมลิออยด์ชนิดรุนแรงที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดจะมีอัตราความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์

การป้องกันโรคเมลิออยด์

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคเมลิออยด์ การควบคุมป้องกันโรคนี้จึงทำได้ยาก เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อผ่านการสัมผัสดินและน้ำขณะทำงาน รวมถึงผู้ป่วยโรคที่มีความเสี่ยงทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม การลดความเสี่ยงในการเผชิญกับเชื้อโรคดังกล่าว ทำได้ดังนี้

  • ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทางร่างกายบกพร่อง เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง หรือต้องรับการรักษาด้วยการทำเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง หรือผู้ที่มีแผลเปิดบนผิวหนังควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดินและน้ำที่อาจมีเชื้อแบคทีเรียเจือปน โดยเฉพาะบริเวณที่มีฟาร์มปศุสัตว์
  • ผู้ที่ทำการเกษตรควรสวมรองเท้าบูทเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการที่เท้าและขาสัมผัสกับดิน
  • ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดผู้ป่วย เช่น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันอย่างเหมาะสม ได้แก่ หน้ากากอนามัย ถุงมือ และเสื้อคลุม

ข่าวสารแนะนำ
...
การปวดท้องประจำเดือนของผู้หญิง

การปวดท้องประจำเดือนของผู้หญิง อาการปวดท้องประจำเดือนมักจะเกิดกับผู้หญิง มีอาการก่อนประจำเดือนมา1-2 วัน หรือปวดวันที่ประจำเดือนมาวันแรก และระหว่างมีประจำเดือนในช่วงวันแรกๆ อาการปวดประจำเดือนมีตั้งแต่อาการปวดหน่วงหรือปวดเกร็งเล็กน้อย ไปจนถึงอาการปวดขั้นรุนแรงบริเวณท้องน้อย และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหลังด้านล่าง คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก ท้องเสียหรือท้องผูก ท้องอืด เวียนศีรษะและปวดศีรษะ เป็นต้น อาการปวดประจำเดือนแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน ปวดประจำเดือนประเภทปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea) เป็นอาการปวดประจำเดือนที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุมักเกิดจากการที่เยื่อบุโพรงมดลูกผลิตสารโพรสตาแกลนดินมากเกินไป ปวดประจำเดือนประเภททุติยภูมิ (Secondary Dysmenorrhea) เกิดจากภาวะผิดปกติของมดลูกหรืออวัยวะสืบพันธุ์อื่นๆ  หากมีอาการปวดประจำเดือน ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาตัวเองได้โดย ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบท้องน้อยและหลัง อาบน้ำอุ่น ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น โยคะหรือนั่งสมาธิ รับประทานยาต้านการอักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ (NSAIDs) ควรรับประทานเมื่อเริ่มมีอาการปวดหรือก่อนมีอาการปวด การรับประทานยาแก้ปวดอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรใช้เมื่อมีอาการปวดอย่างรุนแรงเท่านั้น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานผักและผลไม้ จากการศึกษาพบว่าทานอาหารที่มี Vitamin E, Omega-3 Fatty Acids, Vitamin B1, Vitamin B6 และ Magnesium ช่วยลดการปวดประจำเดือนได้

2022-03-24 11:18:05

...
อาการ CULTURE SHOCK

อาการ CULTURE SHOCK เป็นอาการที่เกิดจาก การที่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศหรือต่างถิ่นจึงมีอาการculture shock ความอึดอับกับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมนั้นเรียกว่าอาการ  Culture Shock ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อสภาพจิตใจของนักเรียน วันนี้เราจะมาแนะนำถึงอาการ Culture Shock กันค่ะ Culture Shock นั้นเป็นเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว ยิ่งเมื่อเริ่มการใช้ชีวิตในต่างประเทศแล้ว ทั้งวัฒนธรรม สิ่งที่เราเคยทำเป็นประจำในทุกๆวัน ทัศนคติของคนรอบๆตัว ต่างก็กลายเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยไปเสียดื้อๆ และในระหว่างที่นักเรียนกำลังอยู่ในขั้นตอนของการรับรู้ความเปลี่ยนแปลงและจัดการทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงนั้นคืออาการ Culture Shock นั่นเองค่ะ  Culture Shock มีลำดับขั้นตอนดังนี้ The Honeymoon Stage ทันทีที่มาถึงสถานที่ใหม่ๆ เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกตื่นเต้นและเริ่มที่จะซึมซับแต่สิ่งที่ดีและสวยงามของประเทศนั้นๆ ในช่วงนี้เราจะเห็นทุกอย่างเป็นสิ่งดีไปเสียหมดและระดับการเปิดรับวัฒนธรรมใหม่นั้นสูงมาก The Negotiation Stage เมื่อถึงเวลาการมองโลกแบบขั้นที่หนึ่งนั้นจะหายไปเองเมื่อเราเริ่มมองโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น นักเรียนอาจเริ่มรู้สึกเคว้นคว้าง หรือรู้สึกหงุดหงิดกับวัฒนธรรมที่แตกต่างและรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มีระเบียบมากนักภายใต้สังคมใหม่  The Adjustment Stage เป็นช่วงที่เราเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงจากการปรับตัว ความรู้สึกแปลกถิ่นเริ่มจางหายไปและสถานที่ใหม่เริ่มกลายเป็นบ้านมากขึ้น นักเรียนจะรู้สึกว่าอารมณ์คงที่มากขึ้น  The Mastery Stage เป็นขั้นสุดท้ายของอาการ Culture Shock ซึ่งคือเมื่อเราสามารถรู้สึกสบายดีได้ในที่สุด ซึ่งเป็นขั้นที่เรารู้สึกว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล เราสามารถพูดคุยกับคนแปลกหน้าในสังคมใหม่ได้อย่างไม่เคอะเขินหรือกลัว และรู้สึกคุ้นชินกับกิจวัตรประจำวันแบบใหม่ได้ในที่สุด แน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะคิดถึงเพื่อนๆและครอบครัว แต่ในที่สุดแล้วเพื่อนและกิจกรรมใหม่ๆก็จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเรา อาการ Culture Shock ส่งผลกระทบต่างออกไปในแต่ละคนโดยขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต บางคนอาจพบว่าอาการนี้ไม่ส่งผลอะไรเลยในขณะที่บางคนอาจพบว่าอาการนี้ยากเกินกว่าจะรับมือได้ อย่างไรก็ตาม Culture Shock เป็นอาการที่รับมือได้ง่าย ดังนั้นผู้ที่สนใจจะไปเรียนต่อต่างประเทศจึงไม่ควรปล่อยให้ความกลัวเป็นตัวขัดขวางโอกาสในการศึกษาต่อในต่างประเทศ

2022-03-18 10:13:55

...
การดื่มชาเขียว ช่วยให้ลดน้ำหนักจริงหรือ?

การดื่มชาเขียว ช่วยให้ลดน้ำหนักจริงหรือ? การดื่มชาเขียวช่วยให้ลดน้ำหนักได้จริงๆเพราะสามารถช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในร่างกาย แต่อย่างไรก็ตามควรควบคุมปริมาณการทานอาหารให้เหมาะสม แต่ควรดื่มให้เหมาะกับปริมาณที่พอดีและควรดื่ม ในเวลาที่ ดื่มชาเขียวระหว่างกินข้าว หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากลดน้ำหนัก การดื่มชาเขียวในระหว่างกินข้าวเป็นไอเดียที่ดีอย่างหนึ่ง หรือการทานชาเขียวหลังกินข้าวก็ให้ผลดีเช่นกัน  ชาเขียวเย็น ในช่วงที่มีอากาศร้อน การจิบชาเขียวเย็น ๆ จะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะ ทำได้โดยการหาชาเขียวแบบซองสำเร็จรูป แล้วชงเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้ แล้วนำออกมาดื่มเวลารู้สึกกระหายน้ำ ที่สำคัญควรงดการเติมน้ำตาลลงไปโดยเด็ดขาดหากไม่อยากอ้วน อย่าดื่มชาเขียวที่วางขายตามร้านสะดวกซื้อ การซื้อชาเขียวตามร้านสะดวกซื้อเพื่อใช้ในการลดน้ำหนักนั้นเป็นวิธีที่ไม่ได้ผล เพราะเต็มไปด้วยน้ำตาลแถมยังมีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่ในปริมาณมาก นอกจากจะทำให้ไม่ผอมแล้ว ยังทำให้อ้วนง่ายมากกว่าเดิม ดังนั้นให้ลองหาซื้อชาเขียวซองมาชงดื่มเองจะดีกว่า แต่การดื่มชาเขียวแล้วลดน้ำหนักได้จริงๆคือ ควรเลือกชาเขียวที่ชงจากถุงเท่านั้น อย่าเลือกดื่มชาเขียวใส่ขวดสำเร็จ เนื่องจากมันเต็มไปด้วยน้ำตาล นอกจากจะไม่ทำให้ผอมแล้ว ยังอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย

2022-03-17 11:09:05

...
โรคแพนิค(PANIC DISORDER)

โรคแพนิค PANIC DISORDER โรคแพนิค หรือโรควิตกกังวล มักพบได้มากในยุคสมัยนี้ อย่างที่เราสังเกตได้ โรคตื่นตระหนก ผู้ที่เป็นมักมีความรู้สึกกลัว ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก แบบไม่คาดคิดมาก่อน และเกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน และมีความกังวลว่าจะเป็นขึ้นมาอีก  โรคแพนิค จะมีอาการดังนี้ ใจสั่น ใจเต้นแรง หรือใจเต้นเร็วมาก  เหงื่อแตก  ตัวสั่น มือเท้าสั่น หายใจไม่อิ่ม หรือ หายใจขัด  รู้สึกอึดอัด หรือแน่นอยู่ข้างใน  เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก  คลื่นไส้ ท้องไส้ปั่นป่วน  วิงเวียน โคลงเคลง มึนตื้อ หรือเป็นลม  ครั่นเนื้อครั่นตัว หนาวสั่น ร้อนวูบวาบ เหมือนจะเป็นไข้ รู้สึกชา หรือรู้สึกซ่า ๆ (paresthesia) รู้สึกเหมือนสิ่งรอบตัวเปลี่ยนแปลงไป (derealization หรือ depersonalization) กลัวคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวเป็นบ้า กลัวว่าตนเองกำลังจะตาย หากไม่ได้รับการรักษาหรือบำบัดโรคแพนิค และปล่อยไว้นานๆอาจจะทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้ภายหลังได้ และคนรอบข้างต้องทำความเข้าใจและเข้าใจคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ด้วย จะเป็นการช่วยให้เขามีอาการที่ดีขึ้นด้วย   ทั้งนี้น้องเมดิคเป็นกำลังใจและอยู่ข้างๆคนที่กำลังป่วยนะครับ :)

2022-03-17 10:43:27