อาหารจีนที่โด่งดังในไทย

อาหารจีนที่โด่งดังในไทย

พูดถึงประเทศจีนแน่นอนอยู่แล้วว่าเรื่องอาหารเขานี้ขึ้นชื่อมากๆ และเป็นที่นิยมในไทยอย่างมาก เราไปดูกันว่ามีอะไรบ้างที่มาเปิดสาขาในไทยและขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ไปดูกันเลย

 ยกมา5เมนูเด็ดๆมาให้ดูกัน

  • หมาล่า (麻辣烫)เป็นที่นิยมทั้งในจีนและไทยและทั่วโลกพูดเลย ซึ่งในไทยก็มีเปิดหลากหลายที่ทั้งในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร 
  • เต้าหู้ทรงเครื่องสไตล์เสฉวน

เป็นเมนูที่มีวัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือ พริกเสฉวน ส่วนรสชาติของอาหารจานนี้ แม้หน้าตาและสีสันจะดุเดือดเลือดพล่าน แต่รสชาติกลับอร่อยเด็ด

  • เกี๊ยวน้ำ

คนไทยก็น่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีนั่นก็คือ เกี๊ยวน้ำซึ่งเป็นเมนูที่คนจีนในสมัยนั้นจะนิยมทานกันในช่วงฤดูหนาว เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย คนไทยชอบมาก

  • ติ่มซำ

แอบกระซิิบว่า เมนูนี้เป็นของโปรดของน้องเมดิค >< อาหารประเภทนึ่งเมนูต่างๆ ที่มาในเข่งเรียงชั้นสูงๆ อย่างที่เราคุ้นเคยกันดี เมนูยอดนิยมของติ่มซำก็มีทั้ง ขนมจีบ ฮะเก๋า เกี๊ยว ก๋วยเตี๋ยวหลอด ขาเป็ดนึ่ง รวมถึงซาลาเปาไส้ต่างๆ บอกเลยว่าใครได้กินติ่มซำก็อร่อยติดใจ และข้อดีอย่างนึงของการทานติ่มซำก็คือ จะเสิร์ฟมาเป็นจานเล็กๆ ในเข่ง ทำให้เราได้อร่อยกับเมนูหลากหลายแบบนั่นเอง

  • เสี่ยวหลงเปา

เสี่ยวหลงเปา ซึ่งเป็นอาหารประเภทติ่มซำอย่างหนึ่งเช่นกันค่ะ เป็นอาหารเซี่ยงไฮ้ที่ได้รับความนิยมมาก ลักษณะจะเป็นแป้งห่อไส้ต่างๆ เช่น หมู หรือกุ้ง และมีน้ำซุปอยู่ข้างในไส้ด้วย เวลาทานก็จะได้รสน้ำซุปที่กลมกล่อมไปพร้อมๆ กับไส้ที่ปรุงรสมาอย่างดี แถมยังมีแป้งที่นึ่งจนเหนียวนุ่ม ใครไป ทัวร์จีน ต้องไม่พลาดชิมเมนูนี้

  • เป็ดปักกิ่ง

จะพลาดเมนูไปได้ไงเนี้ยย!น้องเป็ดปักกิ่งเป็นเมนูขึ้นชื่อในไทยมาก มักจะพบในภัตตาคารอาหารจีนแถมเป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติของจีนมีที่ชื่อเสียงไปทั่วโลก ซึ่งเวลารับประทาน จะต้องนำแผ่นแป้งบางๆ มาห่อหนังเป็ดย่างบางกรอบ พร้อมด้วยเครื่องเคียง ได้แก่ ต้นหอม และแตงกวาปอกเปลือกหั่นแท่ง รับประทานกับซอสหวาน เป็นเมนูที่อร่อย ใครได้ทานก็ติดใจ เป็นเมนูที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของรสชาติ และการตกแต่งจานอย่างสวยงาม

ข่าวสารแนะนำ
...
5 สูตรเครื่องดื่มช่วยเผาผลาญ

5 สูตรเครื่องดื่มช่วยเผาผลาญ น้ำผึ้ง + อบเชย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;น้ำผึ้งมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำหนัก และเมื่อดื่มในขณะท้องว่างยามเช้า ก็จะเป็นการช่วยเร่งระบบเผาผลาญของร่างกาย ซึ่งการเผาผลาญถือเป็นสิ่งสำคัญในการลดน้ำหนักเลยก็ว่าได้ค่ะ ในขณะที่ชินนามอนหรืออบเชย ก็ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนผสมในการช่วยเผาผลาญไขมันได้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน วิธีทำ ใส่ผงชินนามอนหรืออบเชยลงในแก้ว เติมน้ำผึ้งลงไป ใส่น้ำอุ่นลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากัน อบเชย + ชาเขียว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อบเชยยังถือได้ว่าเหมาะกับชาเขียวด้วยเช่นกันค่ะ ซึ่งเมื่อดื่มด้วยกันแล้วจะช่วยลดอาการผิดปกติของระบบย่อยอาหารและกระเพาะอาหารได้ดี อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการย่อย สลายและดูดซับสารอาหาร รวมถึงยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและบำรุงสุขภาพหัวใจได้อีกด้วยค่ะ วิธีทำ แช่อบเชยแท่งในน้ำชาเขียวร้อน ประมาณ 5 นาที สามารถใส่มะนาวหรือน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มรสชาติได้ กรองเยื่อออก จนได้น้ำชาใสพร้อมดื่ม ชาเขียว + ขมิ้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชาเขียวเมื่อดื่มคู่กับขมิ้นก็มีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้ดีเช่นกันค่ะ รวมถึงยังช่วยดีท็อกซ์ร่างกายและต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย เพราะชาเขียว เรียกได้ว่าอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาชนิดอื่นๆ นั่นเอง อีกทั้งดื่มแล้วยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ดี จึงทำให้สามารถช่วยลดน้ำหนักได้นั่นเองค่ะ วิธีทำ ต้มชาเขียว ประมาณ 5 นาที แล้วพักไว้ให้เย็น ใส่ผงขมิ้นลงไป แล้วคนให้เข้ากัน สามารถใส่อบเชย หรือ โป๊ยกั๊ก ลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติได้ กรองเยื่อออก จนได้น้ำชาใสพร้อมดื่ม ขมิ้น + พริกไทย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขมิ้นยังสามารถจับคู่กับพริกไทยได้ด้วยนะคะ บอกเลยว่าประโยชน์เพียบ ดื่มแล้วดีต่อสุขภาพ สามารถช่วยในเรื่องของการย่อยอาหาร ลดอาการอักเสบต่างๆ รวมถึงยังช่วยต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่เรียบง่ายแต่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายได้ดีสุดๆ ค่ะ วิธีทำ ต้มน้ำ 300-500 มล. ให้อุ่น ใส่ขมิ้นและพริกไทยลงไป สามารถใส่มะนาวเพื่อเพิ่มรสชาติได้ คนจนส่วนผสมเข้ากัน &nbsp; สับปะรด + ชาเขียว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชาเขียวยังสามารถจับคู่กับผลไม้อย่างสับปะรดได้ด้วยนะคะ เรียกได้ว่าดื่มแล้วมีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้ดีสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ เนื่องจากส่วนผสม 2 อย่างนี้จะช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้ไม่ต้องกินเยอะจนเสี่ยงน้ำหนักขึ้น รวมถึงยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ เร่งการลดน้ำหนักได้อีกด้วย วิธีทำ เติมชาเขียวอุ่นๆ ครึ่งถ้วย ลงในน้ำสับปะรดครึ่งถ้วยตวง สามารถใส่แอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ช้อนชาได้เพื่อเพิ่มรสชาติ แนะนำให้ดื่มตอนชากำลังอุ่นๆ &nbsp;

2022-02-28 10:44:05

...
เลือกกีฬาตามช่วงอายุ

เลือกกีฬาตามช่วงอายุ วัยเด็ก อายุ 1-10 ปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;กล้ามเนื้อและกระดูกยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ออกกำลังกายติดต่อกันได้ไม่นานก็จะรู้สึกเหนื่อย ร่างกายต้องการพักผ่อนมาก ชอบการอยู่รวมเป็นกลุ่ม เล่นกับเพื่อนหลายๆคน&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;กีฬาที่เหมาะ ควรให้ทำร่วมกันเป็นหมู่คณะ เน้นกิจกรรมที่ให้เด็กได้ฝึกใช้ความสัมพันธ์ของมือ สายตา เท้า และได้เคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา เช่น วิ่ง กายบริหาร เกมเบ็ดเตล็ด ปีนป่าย ว่ายน้ำ ยืดหยุ่น เป็นต้น วัยรุ่น อายุ 11-16 ปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;ร่างกายเด็กกำลังเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มสาว โดยเด็กผู้หญิงจะมีพัฒนาการทางกายมากกว่าเด็กผู้ชายในระยะเริ่มต้น แต่ในช่วงปลายเด็กผู้ชายจะเจริญเติบโตมากกว่า ด้านจิตใจ เด็กวัยนี้จะเริ่มจับกลุ่มโดยแยกหญิง-ชาย และชอบกิจกรรมที่ต้องแข่งขัน ชอบการผจญภัย &nbsp;&nbsp;&nbsp;กีฬาที่เหมาะ เน้นความคล่องแคล่ว ว่องไว หรือฝึกให้ใช้ทักษะเฉพาะอย่าง เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล แบดมินตัน&nbsp; วัยหนุ่มสาว อายุ 17-35 ปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างสมบูรณ์แบบและไม่จำกัด แต่สมรรถภาพทางร่างกายจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าได้รับการดูแลอย่างไรในวัยเด็ก ผู้ที่ต้องการเป็นนักกีฬาสามารถฝึกร่างกายและทักษะทางการกีฬาได้อย่างเต็มที่ ทุกรูปแบบในช่วงนี้ วัยกลางคน อายุ 36-55 ปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น ต้องการการพักผ่อนมากขึ้น ความทนทานของร่างกายเริ่มลดลง กีฬาที่เหมาะ ควรเป็นกิจกรรมที่เคลื่อนไหวที่ช้า เน้นความเพลิดเพลิน ความสบายใจ และปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น จ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน กายบริหารต่างๆ วัยสูงอายุ อายุตั้งแต่ 56 ปี ขึ้นไป &nbsp;&nbsp;&nbsp;เริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุ สมรรถภาพทางกายโดยรวมลดลง สภาพจิตใจจึงแย่ตามไปด้วย ควรเน้นการออกกำลังกายที่ฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรง หรือรักษาสุขภาพโดยรวมให้ดีอยู่เสมอ เพราะจะช่วยให้ผู้สูงอายุได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สภาพจิตใจจะสดชื่น แจ่มใสขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วย &nbsp;&nbsp;&nbsp;กีฬาที่เหมาะ ควรเป็นกิจกรรมเบาๆ ไม่มีการปะทะ เคลื่อนไหวร่างกายอย่างราบรื่น ไม่มีเปลี่ยนจังหวะหรือทิศทางกะทันหัน เช่น เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ไทเก็ก โยคะ พีลาทิส เต้นแอโรบิกแบบแรงกระแทกต่ำ( low impact) เป็นต้น เลือกกีฬาตามหลักสรีระ &nbsp;&nbsp;&nbsp;ชายและหญิงมีความแตกต่างกันทั้งทางกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา ตอนเป็นเด็ก อายุ 2-10 ปี ความสามารถทางกีฬาอาจไม่แตกต่างกันมาก แต่พออายุ 10-14 ปี ร่างกายผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อมากขึ้น กระดูกใหญ่และแข็งแรงกว่า &nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่ผู้หญิงก็เริ่มมีประจำเดือน บางครั้งก็ปวดท้อง หงุดหงิดง่าย รูปแบบของการออกกำลังกายของผู้หญิงจึงควรเป็นแนวเพื่อสุขภาพ และทรวดทรงที่สวยงามมากกว่าการแข่งขัน เช่น ว่ายน้ำ ยิมนาสติก เต้นแอโรบิก โยคะ แบดมินตัน เป็นต้น ส่วนเพศชายสามารถเลือกเล่นกีฬาได้ทุกรูปแบบ

2022-02-28 10:43:06

...
แชร์ 4 เทคนิคทาครีมกันแดดให้ถูกต้อง

แชร์ 4 เทคนิคทาครีมกันแดดให้ถูกต้องสั้นๆเข้าใจง่าย 1.&nbsp;เลือกครีมกันแดดให้เหมาะสม:&nbsp; วิธีการเลือกครีมกันแดดนั้นควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถกันได้ทั้ง UVA ที่ทำให้เกิดริ้วรอย และ UVB ที่เป็นตัวการทำให้ผิวคล้ำ SPF ที่เราเห็นเขียนข้างผลิตภัณฑ์บ่อยๆ ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ด้วยเหมือนกัน โดย SPF หรือ Sun Protection Filter เป็นค่าบ่งบอกการป้องกันรังสี UVB แต่ละตัวก็จะมีค่าต่างกันออกไป 2. &nbsp;ทา 2 ข้อนิ้วชี้ 10 บาท: ทากันแดดที่ตัวยังพอได้ แต่เมื่อเริ่มทาบริเวณใบหน้าบางคนก็อาจสงสัยว่าต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่ เพราะการทากันแดดหากไม่ใช้ปริมาณที่เพียงพอ ครีมกันแดดก็ทำงานได้ไม่เต็มที่เหมือนกัน เพื่อให้ได้ปริมาณ SPF ตามที่เขียนไว้ตามหน้าขวด วิธีที่ดีที่สุดคือควรทาที่ปริมาณ 2 ข้อนิ้วชี้ 1 เหรียญ 10 บาท โดย ถ้าเนื้อผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นสูตรครีม ให้ทาความยาวเท่ากับ 2 ข้อนิ้วชี้ และหากเป็นสูตรน้ำให้บีบลงฝ่ามือมีความกว้างเท่าเหรียญ 10 บาท 1 เหรียญ สูตรนี้เป็นปริมาณที่บริเวณใบหน้าอย่างเดียวนะไม่ได้รวมบริเวณคอแต่อย่างใด 3.&nbsp;ทาก่อนออกข้างนอก 15 นาที:&nbsp; หลังจากทาครีมกันแดดเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งรีบร้อนออกจากบ้านก่อน ควรรออย่างน้อย 15 &ndash; 30 นาที เพื่อให้เนื้อครีมเซตตัวให้ติดกับผิวมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ไหลไปพร้อมกับเหงื่อหรือน้ำที่จะลดประสิทธิภาพของตัวกันแดดที่เราใช้ เพราะฉะนั้นก่อนจะออกไปไหนต้องกะเวลาทาให้ถูกด้วย 4.&nbsp;เติมครีมกันแดดทุก 2 ชั่วโมง: &nbsp; แดดที่เปรี้ยงปร้าง และเหงื่อเป็นตัวการที่ทำให้ประสิทธิภาพของครีมกันแดดลดลง เมื่อออกไปไหนอย่าลืมพกหลอดเล็กๆไว้เติมระหว่างวันด้วย ถ้าไม่ได้เจอแดดมากๆ แนะนำให้ทาในช่วงกลางวันเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าหากอยากได้ความมั่นใจจริงๆ ก็ควรทาทุกๆ&nbsp; 2 ชั่วโมงเพื่อให้ผิวของเราได้รับเกราะป้องกันอย่างเต็มที่ และอย่าลืมล้างมือทุกครั้งก่อนทาครีมกันแดดเพื่อลดการเกิดสิวจากสิ่งสกปรก

2022-02-21 11:07:47

...
โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus: DM) เป็นภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) หรือการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้กระบวนการดูดซึมน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานของเซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนเกิดน้ำตาลสะสมในเลือดปริมาณมาก หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้เป็นเวลานานจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ เสื่อม เกิดโรคและอาการแทรกซ้อนขึ้น อาการของโรคเบาหวาน โรคเบาหวานในระยะแรกจะไม่แสดงอาการผิดปกติ บางรายอาจตรวจพบโรคเบาหวานเมื่อพบภาวะแทรกซ้อนขึ้นแล้ว อาการของโรคเบาหวานแต่ละชนิดอาจมีความคล้ายกัน ซึ่งอาการที่พบส่วนใหญ่ คือ กระหายน้ำมาก ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย หิวบ่อย น้ำหนักลดหรือเพิ่มผิดปกติ สายตาพร่ามัว เห็นภาพไม่ชัด รู้สึกเหนื่อยง่าย&nbsp; มีอาการชาโดยเฉพาะมือและขา บาดแผลหายยาก เป็นต้น ทั้งนี้ อาการของโรคเบาหวานประเภทที่ 1 จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 จะแสดงอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มักเกิดขึ้นในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 24-28 สัปดาห์ อาการของโรคเบาหวาน โรคเบาหวานในระยะแรกจะไม่แสดงอาการผิดปกติ บางรายอาจตรวจพบโรคเบาหวานเมื่อพบภาวะแทรกซ้อนขึ้นแล้ว อาการของโรคเบาหวานแต่ละชนิดอาจมีความคล้ายกัน ซึ่งอาการที่พบส่วนใหญ่ คือ กระหายน้ำมาก ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย หิวบ่อย น้ำหนักลดหรือเพิ่มผิดปกติ สายตาพร่ามัว เห็นภาพไม่ชัด รู้สึกเหนื่อยง่าย&nbsp; มีอาการชาโดยเฉพาะมือและขา บาดแผลหายยาก เป็นต้น ทั้งนี้ อาการของโรคเบาหวานประเภทที่ 1 จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 จะแสดงอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มักเกิดขึ้นในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 24-28 สัปดาห์ การรักษาโรคเบาหวาน การรักษาผู้ป่วยเบาหวานในประเภทที่ 1 จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนอินซูลินเข้าไปทดแทนในร่างกายด้วยการฉีดยาเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการคุมอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสม ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 หากเป็นในระยะแรก ๆ สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลัง และควบคุมน้ำหนัก หากอาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจให้ยาควบคู่ไปด้วยหรือฉีดอินซูลินเข้าไปทดแทนเช่นเดียวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 สำหรับผู้เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรเข้าฝากครรภ์กับแพทย์ตั้งแต่ในระยะแรก พร้อมทั้งควบคุมอาหารที่รับประทานและออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์ การรักษาโรคเบาหวาน การรักษาผู้ป่วยเบาหวานในประเภทที่ 1 จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนอินซูลินเข้าไปทดแทนในร่างกายด้วยการฉีดยาเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการคุมอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสม ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 หากเป็นในระยะแรก ๆ สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลัง และควบคุมน้ำหนัก หากอาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจให้ยาควบคู่ไปด้วยหรือฉีดอินซูลินเข้าไปทดแทนเช่นเดียวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 สำหรับผู้เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรเข้าฝากครรภ์กับแพทย์ตั้งแต่ในระยะแรก พร้อมทั้งควบคุมอาหารที่รับประทานและออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์ &nbsp; อ้างอิง :https://www.pobpad.com/โรคเบาหวาน

2022-02-15 09:35:08