อาการ CULTURE SHOCK

อาการ CULTURE SHOCK

เป็นอาการที่เกิดจาก การที่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศหรือต่างถิ่นจึงมีอาการculture shock ความอึดอับกับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมนั้นเรียกว่าอาการ  Culture Shock ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อสภาพจิตใจของนักเรียน วันนี้เราจะมาแนะนำถึงอาการ Culture Shock กันค่ะ

Culture Shock นั้นเป็นเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว ยิ่งเมื่อเริ่มการใช้ชีวิตในต่างประเทศแล้ว ทั้งวัฒนธรรม สิ่งที่เราเคยทำเป็นประจำในทุกๆวัน ทัศนคติของคนรอบๆตัว ต่างก็กลายเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยไปเสียดื้อๆ และในระหว่างที่นักเรียนกำลังอยู่ในขั้นตอนของการรับรู้ความเปลี่ยนแปลงและจัดการทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงนั้นคืออาการ Culture Shock นั่นเองค่ะ

 Culture Shock มีลำดับขั้นตอนดังนี้

The Honeymoon Stage

ทันทีที่มาถึงสถานที่ใหม่ๆ เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกตื่นเต้นและเริ่มที่จะซึมซับแต่สิ่งที่ดีและสวยงามของประเทศนั้นๆ ในช่วงนี้เราจะเห็นทุกอย่างเป็นสิ่งดีไปเสียหมดและระดับการเปิดรับวัฒนธรรมใหม่นั้นสูงมาก

The Negotiation Stage

เมื่อถึงเวลาการมองโลกแบบขั้นที่หนึ่งนั้นจะหายไปเองเมื่อเราเริ่มมองโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น นักเรียนอาจเริ่มรู้สึกเคว้นคว้าง หรือรู้สึกหงุดหงิดกับวัฒนธรรมที่แตกต่างและรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มีระเบียบมากนักภายใต้สังคมใหม่ 

The Adjustment Stage

เป็นช่วงที่เราเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลงจากการปรับตัว ความรู้สึกแปลกถิ่นเริ่มจางหายไปและสถานที่ใหม่เริ่มกลายเป็นบ้านมากขึ้น นักเรียนจะรู้สึกว่าอารมณ์คงที่มากขึ้น 

The Mastery Stage

เป็นขั้นสุดท้ายของอาการ Culture Shock ซึ่งคือเมื่อเราสามารถรู้สึกสบายดีได้ในที่สุด ซึ่งเป็นขั้นที่เรารู้สึกว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล เราสามารถพูดคุยกับคนแปลกหน้าในสังคมใหม่ได้อย่างไม่เคอะเขินหรือกลัว และรู้สึกคุ้นชินกับกิจวัตรประจำวันแบบใหม่ได้ในที่สุด แน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะคิดถึงเพื่อนๆและครอบครัว แต่ในที่สุดแล้วเพื่อนและกิจกรรมใหม่ๆก็จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเรา

อาการ Culture Shock ส่งผลกระทบต่างออกไปในแต่ละคนโดยขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต บางคนอาจพบว่าอาการนี้ไม่ส่งผลอะไรเลยในขณะที่บางคนอาจพบว่าอาการนี้ยากเกินกว่าจะรับมือได้ อย่างไรก็ตาม Culture Shock เป็นอาการที่รับมือได้ง่าย ดังนั้นผู้ที่สนใจจะไปเรียนต่อต่างประเทศจึงไม่ควรปล่อยให้ความกลัวเป็นตัวขัดขวางโอกาสในการศึกษาต่อในต่างประเทศ

ข่าวสารแนะนำ
...
กินมังสวิรัติดีอย่างไรนะ?

กินมังสวิรัติดีอย่างไรนะ? อาหารมังสวิรัติ คือ อาหารจำพวกผักผลไม้ งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ มังสวิรัติมี 8 ประเภท ดังนี้ 1.มังสวิรัติแบบแมคโครไบโอติก (Macrobiotic)  2.มังสวิรัตินม-ไข่ (Lacto Ovo Vegetarian)  3.มังสวิรัติไข่ (Ovo Vegetarian) 4.มังสวิรัตินม (Lacto Vegetarian)  5.มังวิรัติแบบเจ (J-Chinese Vegetarian)  6.มังสวิรัติบริสุทธิ์ (Pure Vegetarian)  7.มังสวิรัติพืชสด (Raw Food Eater)  8.มังสวิรัติผลไม้ (Fruitarian)  สิ่งสำคัญในการบริโภคอย่างสมดุลคือการที่ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกายและใจที่ดี รับประทานอาหารเป็นหลักสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างหัวใจและสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรง สำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติ ควรมั่นใจว่าอาหารที่รับประทานในแต่ละวันนั้นให้คุณค่าทางโภชนาการที่เพียงพอในแต่ละวัน สำหรับคนไทยที่มีวิถีชีวิตเร่งรีบ วิธีง่ายที่สุดที่จะช่วยรังสรรค์เมนูมังสวิรัติให้อร่อยและสุขภาพดี คือปรับเปลี่ยนวัตถุดิบในการปรุงอาหาร นั่นก็คือ น้ำมันปรุงอาหาร ประเทศต่างๆ ที่ผู้คนมีสุขภาพดีมากที่สุดของโลกเป็นเพราะพวกเขาเลือกรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ และเลือกใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหาร ด้วยวิธีมากมายที่รังสรรค์ให้อาหารมังสวิรัติมื้อโปรดอร่อยและไม่น่าเบื่อ จึงถือเป็นอีกทางในการดูแลรักษาสุขภาพของคุณเพื่อที่จะได้ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนๆ อย่างมีความสุข การปรับเปลี่ยนแนวทางการบริโภคแม้เพียงเล็กน้อย จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยป้องกันดูแลหัวใจและช่วยให้คุณมีไลฟ์สไตล์ที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น  

2022-03-11 15:03:21

...
ครอบครัวคนเอเชีย vs ครอบครัวคนตะวันตก

ครอบครัวคนเอเชีย vs ครอบครัวคนตะวันตก อย่างที่รู้กันว่าการเลี้ยงดูของครอบครัวคนเอเชียและครอบครัวคนตะวันตก(ฝรั่ง)นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อ๊ะ!บอกก่อนว่าไม่มีวิถีไหนผิดและถูกนะคะ  เรามาดูกันว่าครอบครัวคนเอเชียและครอบครัวตะวันตกหรือ ครอบครัวฝรั่งที่เรารู้กันว่าเเตกต่างกันอย่างไร ครอบครัวคนเอเชีย :การเลี้ยงดูนั้นมักจะประคบประงมและเข้มงวด ครอบครัวตะวันตก : มักจะปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้เอง ไม่ประคบประงม ตัวอย่างการเปรียบเทียบ เช่น - การนอน  ชาวตะวันตกให้แยกนอนตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนเอเชียสำหรับการแยกนอน ทางเอเชียยังนอนด้วยกันได้ จนกว่าจะแต่งงานถึงแยกห้อง - เรื่องทานอาหาร ตะวันตกนิยมให้เด็กทานเองถึงแม้ยังถือช้อน ส้อมไม่ถนัด ก็ปูผ้าพาสติกรองพื้นกันเปื้อนกันไป  ส่วนคนเอเชียที่มักมีคนคอยป้อน  - ความเข้มงวด ต้องบอกก่อนว่าการเข้มงวดแต่ละครอบครัวมักจะไม่เหมือนกันแต่ส่วนใหญ่ที่มักจะพบเห็นได้เลยคือ สังคมตะวันตกคาดหวังและสนับสนุนให้เด็กอายุ 17 -18 เริ่มที่จะออกไปอยู่ด้วยตัวเองได้ แต่สังคมเอเชียมักจจะไม่ปล่อยให้ลูกออกไปอยู่นอกบ้านจนออกไปอยู่ได้ต่อเมื่อแต่งงาน ออกเรือน  แต่ไม่มีผิดมีถูกในการเลี้ยงดูทั้งครอบครัวตะวันตกและครอบครัวเอเชีย  ทั้งนี้ใช้วิจารญาณในการอ่านและทำความเข้าใจด้วยนะคะ 

2022-03-11 10:39:40

...
ครอบครัวคนเอเชีย vs ครอบครัวคนตะวันตก

ครอบครัวคนเอเชีย vs ครอบครัวคนตะวันตก อย่างที่รู้กันว่าการเลี้ยงดูของครอบครัวคนเอเชียและครอบครัวคนตะวันตก(ฝรั่ง)นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อ๊ะ!บอกก่อนว่าไม่มีวิถีไหนผิดและถูกนะคะ  เรามาดูกันว่าครอบครัวคนเอเชียและครอบครัวตะวันตกหรือ ครอบครัวฝรั่งที่เรารู้กันว่าเเตกต่างกันอย่างไร ครอบครัวคนเอเชีย :การเลี้ยงดูนั้นมักจะประคบประงมและเข้มงวด ครอบครัวตะวันตก : มักจะปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้เอง ไม่ประคบประงม ตัวอย่างการเปรียบเทียบ เช่น 1. การนอน  ชาวตะวันตกให้แยกนอนตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนเอเชียสำหรับการแยกนอน ทางเอเชียยังนอนด้วยกันได้ จนกว่าจะแต่งงานถึงแยกห้อง 2. เรื่องทานอาหาร ตะวันตกนิยมให้เด็กทานเองถึงแม้ยังถือช้อน ส้อมไม่ถนัด ก็ปูผ้าพาสติกรองพื้นกันเปื้อนกันไป  ส่วนคนเอเชียที่มักมีคนคอยป้อน  3. ความเข้มงวด ต้องบอกก่อนว่าการเข้มงวดแต่ละครอบครัวมักจะไม่เหมือนกันแต่ส่วนใหญ่ที่มักจะพบเห็นได้เลยคือ สังคมตะวันตกคาดหวังและสนับสนุนให้เด็กอายุ 17 -18 เริ่มที่จะออกไปอยู่ด้วยตัวเองได้ แต่สังคมเอเชียมักจจะไม่ปล่อยให้ลูกออกไปอยู่นอกบ้านจนออกไปอยู่ได้ต่อเมื่อแต่งงาน ออกเรือน    แต่ไม่มีผิดมีถูกในการเลี้ยงดูทั้งครอบครัวตะวันตกและครอบครัวเอเชีย  ทั้งนี้ใช้วิจารญาณในการอ่านและทำความเข้าใจด้วยนะคะ 

2022-03-10 14:18:44

...
TELEMEDICINE

Telemedicine คือ การโทรคุยกับแพทย์แบบ Real-time และการสื่อสารผ่านระบบ VDO conference ที่คู่สนทนาสามารถมองเห็นหน้าและสนทนากันได้ทั้ง 2 ฝ่าย เหมาะกับยุคสมัยนี้เป็นอย่างมาก ทั้งสะดวก ประหยัดเวลา ง่าย และไร้ข้อจำกัดในเรื่องเวลาและสถานที่  สำหรับในประเทศไทย TELEMEDICINE เริ่มมีหลายสถานพยาบาลนำมาปรับใช้ ในปัจจุบันการบริการ TELEMEDICINE เป็นที่นิยมในการดูแลรักษาโรคต่างๆ อาทิ การปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นที่อาการไม่รุนแรง เช่น ไข้ ปวดท้อง แน่นท้อง ปวดศีรษะ หรือการปรึกษาติดตามผลการรักษาของโรคเรื้อรัง เป็นต้น เทคโนโลยี Telemedicine นี้สามารถทำได้ดังนี้ ให้คำปรึกษา โดยผู้เชี่ยวชาญ สามารถวินิจฉัยสุขภาพโดยการพูดคุย เฝ้าระวัง สุขภาพที่บ้าน โดยการนำอุปกรณ์ตรวจวัดต่าง ๆ ไปติดตั้งที่บ้าน เพื่อวัดและเก็บข้อมูลสัญญาณชีพ ให้ข้อมูลสุขภาพ หรือให้คำปรึกษาโรค โดยผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลโดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือปรึกษาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญได้ เรียนรู้ทางการแพทย์ โดยระบบจะทำหน้าที่รวบรวมความรู้ ให้ผู้ใช้สืบค้นข้อมูลหรือเผยแพร่ข้อมูลความรู้ได้   สามารถติดต่อได้ทาง Medixmarket  https://medixmarket.com/ LINE : @medixmarket

2022-03-09 13:55:39