การปวดท้องประจำเดือนของผู้หญิง

การปวดท้องประจำเดือนของผู้หญิง

อาการปวดท้องประจำเดือนมักจะเกิดกับผู้หญิง มีอาการก่อนประจำเดือนมา1-2 วัน หรือปวดวันที่ประจำเดือนมาวันแรก และระหว่างมีประจำเดือนในช่วงวันแรกๆ อาการปวดประจำเดือนมีตั้งแต่อาการปวดหน่วงหรือปวดเกร็งเล็กน้อย ไปจนถึงอาการปวดขั้นรุนแรงบริเวณท้องน้อย และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหลังด้านล่าง คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก ท้องเสียหรือท้องผูก ท้องอืด เวียนศีรษะและปวดศีรษะ เป็นต้น

อาการปวดประจำเดือนแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน

  1. ปวดประจำเดือนประเภทปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea) เป็นอาการปวดประจำเดือนที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุมักเกิดจากการที่เยื่อบุโพรงมดลูกผลิตสารโพรสตาแกลนดินมากเกินไป
  2. ปวดประจำเดือนประเภททุติยภูมิ (Secondary Dysmenorrhea) เกิดจากภาวะผิดปกติของมดลูกหรืออวัยวะสืบพันธุ์อื่นๆ 

หากมีอาการปวดประจำเดือน ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาตัวเองได้โดย

  1. ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบท้องน้อยและหลัง
  2. อาบน้ำอุ่น
  3. ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น โยคะหรือนั่งสมาธิ
  4. รับประทานยาต้านการอักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ (NSAIDs) ควรรับประทานเมื่อเริ่มมีอาการปวดหรือก่อนมีอาการปวด การรับประทานยาแก้ปวดอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรใช้เมื่อมีอาการปวดอย่างรุนแรงเท่านั้น
  5. พักผ่อนให้เพียงพอ
  6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  7. รับประทานผักและผลไม้ จากการศึกษาพบว่าทานอาหารที่มี Vitamin E, Omega-3 Fatty Acids, Vitamin B1, Vitamin B6 และ Magnesium ช่วยลดการปวดประจำเดือนได้

ข่าวสารแนะนำ
...
วิธีเก็บเงิน ให้มีเงินเก็บ!

วิธีเก็บเงิน รวบรวมคำสอนในวิธีออมเงินของชาวจีนมาให้เพื่อให้เราจึงต้องปฎิบัติการเก็บออมกันแบบจริงจัง และให้ได้เงินถุงเงินถังอย่างที่ตั้งใจไว้ วิธีเก็บเงิน ที่เราทำมาฝากคุณในวันนี้บอกได้เลยว่าเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณมีเงินเก็บได้จริงๆ 1. มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท เศษเหรียญที่เหลือจากการใช้จ่ายในแต่ละวันนี่แหละ คือจุดเริ่มต้นของการมีเงินเก็บ ไม่ว่าวันนี้จะเหลือเหรียญมากน้อยขนาดไหนก็จับยัดเข้ากระปุกให้ไว ไม่ต้องเก็บไว้สมทบค่าขนมในวันถัดไปหรอก เพราะยิ่งคุณใช้น้อย เงินเก็บของคุณก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น 2. แบงค์ 50 ห้ามใช้! เมื่อโชคชะตาฟ้าประทานแบงค์ 50 มาให้เมื่อไร ท่องเอาไว้ ห้ามใช้! ห้ามใช้! แล้วจัดการเก็บเข้าคลังในทันที ลองใช้ วิธีเก็บเงิน แบบนี้ 3. หักเศษเงินเดือน สมมติว่าได้เงินเดือน 15,560 บาท เจ้าเศษ 560 บาท นี่แหละ คือ สิ่งที่คุณต้องเก็บออมเอาไว้ จำนวนไม่มากไม่น้อยจนเกินไป  4. พกเงินติดตัวให้น้อยลง การพกเงินติดตัวครั้งละมากๆ อาจทำให้คุณเผลอใจไปกับของกิน ของใช้เล็กๆน้อยๆ ซึ่งบางอย่างก็เป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ! ดังนั้นการพกเงินติดตัวเท่าที่จำเป็น 5. วิธีเก็บเงิน เท่าค่าอาหารกลางวัน ไม่ว่ามื้อเที่ยงวันนี้คุณจะทานอาหารที่ไหน ราคาเท่าไร คุณก็ต้องเก็บเงินตามเก็บเงินตามจำนวนค่าอาหารที่จ่ายไป ห้ามแอบลดราคาค่าข้าวกลางวันของตัวเองลงเด็ดขาด 6. มีหลายๆกระปุกหรือบัญชี คุณอาจแปะกระดาษโน้ตเล็กๆลงไปบนกระปุกแต่ละใบว่า เงินในกระปุกนั้นมีไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร การเก็บเงินด้วยวิธีแยกกระปุกหรือบัญชีแบบนี้ นอกจากจะทำให้คุณเก็บเงินได้ง่ายขึ้น 7. แบ่งเงินใส่ถุง ดูเหมือนเป็น วิธีเก็บเงิน แบบแปลกๆ แต่เชื่อเถอะว่าวิธีนี้ได้ผล! เพราะการแบ่งเงินจำนวนที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ใส่ถุงแยกเป็นวันๆไว้นั้น ช่วยให้คุณสามารถจัดสรรปันส่วนค่าใช้จ่ายต่างๆได้อย่างลงตัว 8. เปิดบัญชี โดยไม่ทำ ATM การออมเงินด้วยวิธีนี้นั้นง่ายแสนง่าย เพียงแค่คุณเปิดบัญชีใหม่ โดยไม่ต้องทำบัตร ATM จากนั้นก็ฝากเงิน 20%-40% ของรายได้ เข้าบัญชีทุกเดือน 9. ออมวันละ 100 บาท หรือเป็นสัดส่วน 5-10% ของรายได้ อย่างเพิ่งมองว่าแบงค์เขียวๆใบน้อยนี้ไม่สามารถสร้างเงินก้อนเป็นกอบเป็นกำให้คุณได้ ถ้าคุณเก็บออมด้วยแบงค์ 100 ทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน คุณจะมีเงิน 3,000 บาท หรือหากมองว่า 100 บาทต่อวัน นั้นน้อยเกินไป  10. เอาชนะใจตัวเอง ในข้อนี้อาจไม่ใช่ทริค วิธีเก็บเงิน แบบเก๋ๆ แต่ข้อนี้คือ หัวใจสำคัญ ที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในเรื่องของการเก็บเงิน 

2022-03-03 14:12:07

...
วิธีการเลือกลิปสติกสีที่เหมาะกับคุณ

คำนึงถึงโทนสีผิวของคุณ  1: ตรวจสีผิวของคุณในแสงธรรมชาติเพื่อวัดระดับผิวพรรณของคุณ: ผิวขาวซีด, ผิวขาวเหลือง, ผิวสองสี, ผิวแทน, ผิวคล้ำ โดยให้เน้นดูที่ผิวบริเวณสันกราม ผิวขาวซีด: ผิวหนังของคุณนั้นซีดหรือใส คุณจะแพ้แดดได้ง่ายมาก ผิวมักจะมีรอยตกกระหรือมีรอยแดง ผิวขาวเหลือง: ผิวของคุณออกขาว เวลาที่ตากแดด ผิวจะไหม้และอาจเป็นสีแทน ผิวสองสี: ผิวคุณจะเป็นสีแทนได้ง่ายและมักจะไม่ค่อยไหม้แดดหรือแพ้อะไรง่ายนัก  ผิวแทน: ผิวคุณจะเป็นสีแทนหรือสีน้ำผึ้ง ผิวคุณนั้นยากจะไหม้แดดและผิวยังดูออกสีแทนแม้ในหน้าหนาว ผิวคล้ำ: สีผิวของคุณนั้นเข้มและคุณจะไม่มีทางเกิดอาการผิวไหม้แดด สีผมก็จะออกดำขลับหรือไม่ก็น้ำตาลเข้ม 2: ดูที่สีของเส้นเลือดใหญ่บริเวณข้อพับ. นี่คือวิธีที่เร็วที่สุดในการตัดสินว่าคุณเป็นคนที่มีโทนสีผิวเป็นแบบโทนอุ่น โทนเป็นกลาง หรือโทนเย็น เส้นเลือดสีน้ำเงินหรือม่วงแสดงว่าคุณเป็นคนมีโทนผิวเย็น เส้นเลือดสีเขียวแสดงว่าคุณเป็นคนมีผิวโทนอุ่น ถ้าคุณมองแล้วตัดสินใจยากว่าเส้นเลือดนั้นออกสีม่วงหรือว่าเขียวกันแน่ คุณก็มีโทนผิวเป็นกลางและสามารถเลือกสีได้จากทั้งโทนอุ่นไปจนถึงเย็น คนที่มีผิวสีน้ำผึ้งมักจะมีผิวโทนเป็นกลาง 3: สังเกตว่าผิวคุณตอบสนองต่อการโดนแดดอย่างไร: ผิวคุณเป็นสีแทนหรือไหม้แดดได้ง่ายหรือไม่? ผิวที่ออกสีแทนได้ง่ายนั้นจะมีสารเมลานินในผิวมากเป็นตัวชี้ว่ามีผิวโทนอุ่น ผู้ใหญ่ผิวดำและพวกที่มีเชื้อสายอินเดียมักตกอยู่ในประเภทนี้ ถ้าหากผิวคุณเกิดไหม้แดดก่อนที่มันจะออกสีแทน (และบางทีผิวคุณอาจไม่มีทางออกสีแทนเลย) งั้นแสดงว่าผิวคุณมีเมลานินน้อยและคุณมีโทนสีผิวเป็นสีน้ำเงิน ถ้าคุณเป็นคนที่มีสีผิวออกคล้ำดำมาก คุณอาจตกอยู่ในประเภทผิวแบบนี้ 4: ลองทาบกับเครื่องประดับที่ทำจากเงินและทอง อย่างไหนจะดูดีกว่ากัน? เครื่องประดับที่ทำจากทองจะดูดีที่สุดบนผิวโทนอุ่น เครื่องประดับที่ทำจากเงินจะดูดีที่สุดบนผิวโทนเย็น ทั้งสองจะดูดีบนผิวโทนเป็นกลาง วิธีนี้จะเป็น “ตัวตัดสิน” ที่ดี ถ้าหากคุณยังตัดสินตามวิธีแต่ละข้อที่บอกไปแล้วไม่ได้สักที   เลือกสีที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน 1: หาสีที่เข้มกว่าสีริมฝีปากปกติของคุณสักเฉดหรือสองเฉด เพื่อจะทดสอบว่าเฉดสีนั้นใกล้เคียงกับสีธรรมชาติของคุณ ให้ทาลิปสติกเฉพาะตรงริมฝีปากล่าง เปรียบเทียบเฉดสีนั้นกับริมฝีปากบน ถ้าเฉดสีนั้นดูแตกต่างกันมากเกินไป คุณก็ต้องตามหาต่อไป 2: ตัดสินใจว่าคุณอยากให้ริมฝีปากดูเรียวบางหรือหนาอวบอิ่มขึ้น. เฉดที่เข้มจะทำให้ริมฝีปากคุณดูเล็กลง ในขณะที่เฉดสีอ่อนจะช่วยเพิ่มความอวบอิ่ม ลิปสติกที่เป็นสีด้านก็ช่วยให้ริมฝีปากดูบางลง ในขณะที่เฉดออกมันวาวจะทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม 3: ดูอันเดอร์โทนกับผิวพรรณของคุณ จำไว้ว่าอันเดอร์โทนกับสีผิวนั้นจะช่วยไกด์คุณ แต่มันไม่ใช่เป็นตัวจำกัดให้เลือกเฉพาะสีลิปสติกที่ว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคือได้ลองเฉดสีต่างๆ และที่สุดคือการเลือกในสิ่งที่ “คุณ” รู้สึกว่าทาแล้วออกมาดูดีที่สุด 4: ทดลองทาเฉดสีที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำตามสีผิวและโทนสีผิวของคุณ ถ้าคุณมีผิวขาวซีดหรือขาวเหลือง ลองสีชมพูอ่อน สีคอรัล สีพีช สีนู้ด หรือสีเบจ ถ้าคุณมีอันเดอร์โทนสีเย็น ลองสีมอคค่าและสีนู้ด อันเดอร์โทนสีอุ่นให้ลองสีชมพูซีดหรือสีนู้ดที่มีสีพีชแซม ถ้าคุณมีผิวสองสี ลองสีโรส สีม่วงซีด หรือสีเบอร์รี่ อันเดอร์โทนสีเย็น: ลองเฉดสีชมพูหรือแครนเบอร์รี่ อันเดอร์โทนสีอุ่น: ทดลองสีทองแดงหรือสีบรอนซ์ดู ถ้าคุณมีผิวแทน พยายามหลีกเลี่ยงสีน้ำตาลกับสีม่วงและให้ดูสีที่มีสีส้มเป็นอันเดอร์โทนแทน สีอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็ดูดี ให้ลองสีคอรัลหรือสีชมพูจัด คุณมีผิวคล้ำ ให้ลองสีน้ำตาลหรือม่วงอย่างสีวอลนัท สีคาราเมล สีพลัม และสีไวน์  อันเดอร์โทนสีเย็นควรมองหาสีแดงทับทิมและแดงไวน์ อันเดอร์โทนสีอุ่นลองทองแดงกับบรอนซ์  

2022-03-02 14:36:55

...
ตรวจโควิดด้วยตัวเอง ด้วยชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test Kit (ATK)

ตรวจโควิดด้วยตัวเอง ด้วยชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test Kit (ATK) ชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test Kit : เหมาะสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางเป็นประจำ หรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ กลุ่มผู้สูงวัย ผู้ที่มีภาวะอ้วน และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังต่างๆ เพื่อแยกกลุ่มผู้ติดเชื้อออกมาได้เร็วมากขึ้น แน่นอนว่าการตรวจโควิดด้วยตัวเอง (Home Use) นั้น จะช่วยให้เราสามารถรู้ผลโควิดได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลารอคิวเข้าตรวจ และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่แออัด โดยชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test Kit นี้ยังมีความแตกต่างกับการตรวจโควิดสำหรับบุคลากรการแพทย์ (Professional use Only) เปิดวิธีใช้ Rapid Antigen Test Kit (ATK) ตรวจโควิดด้วยตัวเอง พร้อมวิธีอ่านผลตรวจ ตรวจโควิดด้วยตัวเอง การเข้าถึงวิธีตรวจหาโควิดที่สะดวก รวดเร็ว และสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง อาจทำให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวังการเลือกซื้อ Rapid Antigen Test Kit โดยควรเลือกยี่ห้อที่ผ่านการรองรับจากองค์การอาหารและยา (อย.) เท่านั้น และเลือกซื้อตามร้านขายยาที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันชุดตรวจที่แปลกปลอม ในส่วนของการเตรียมตัวก่อนใช้ชุดตรวจโควิดด้วยตัวเองนั้นก็ไม่ยุ่งยาก ขั้นตอนตรวจโควิดด้วยตัวเอง ด้วยชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test Kit  เงยหน้าขึ้น ใช้ก้านสำลีสอดเข้าไปในจมูก และหมุนวนอย่างน้อย 5 รอบ (15 วินาที) นำเอาก้านไปจุ่มลงในหลอดสารสกัด แกว่งก้านสำลีอย่างน้อย 10 รอบ กดหลอดสารสกัดเพื่อบีบให้สารสกัดออกมากที่สุด ปิดฝาหลอดหยด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที หยดน้ำยาลงบนเครื่องตรวจตรงจุดที่กำหนด ประมาณ 3 หยด ปิดแผงตรวจ รอผลประมาณ 15-30 นาที (ห้ามอ่านผลก่อนหรือหลังจากที่ระบุไว้)

2022-03-02 11:08:14

...
ประโยชน์และวิธีการล้างจมูก

การล้างจมูกคืออะไร? การล้างจมูก คือ การทำความสะอาดโพรงจมูกโดยการใส่หรือหยอดน้ำเข้าไปในจมูก การล้างจมูกจะช่วยชะล้างมูก คราบมูก หรือหนองบริเวณโพรงจมูก และหลังโพรงจมูกออก ทำให้โพรงจมูกสะอาด น้ำที่ใช้แนะนำให้ใช้น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยลดความเหนียวของน้ำมูก และทำให้เชื้อโรคไม่เจริญเติบโต การล้างจมูกมีประโยชน์อย่างไร? ช่วยล้างมูกเหนียวข้นที่ไม่สามารถระบายออกได้เอง ทำให้โพรงจมูกสะอาด อาการหวัดเรื้อรังดีขึ้น ป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคจากจมูกและไซนัสไปสู่ปอด ช่วยลดจำนวนเชื้อโรค ของเสีย สารก่อภูมิแพ้และสารที่เกิดจากปฏิกิริยาของ ร่างกายที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้ ให้ความชุ่มชื้นแก่เยื่อบุจมูก บรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ทำให้หายใจโล่งขึ้น บรรเทาอาการระคายเคืองในจมูก การล้างจมูกก่อนใช้ยาพ่นจมูกจะทำให้ยาพ่นจมูกมีประสิทธิภาพดีขึ้น การล้างจมูกทำอย่างไร? เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูก น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% ซึ่งหาซื้อได้จากโรงพยาบาลหรือตามร้านขายยา (น้ำเกลือที่ใช้เหลือให้เททิ้ง ห้ามนำกลับมาใช้ใหม่ หรือเทกลับเข้าขวดน้ำเกลือเดิม) ถ้วยสะอาดสำหรับใส่น้ำเกลือ กระบอกฉีดยาพลาสติก ภาชนะรองน้ำจมูกและเสมหะ กระดาษทิชชู วิธีล้างจมูก ล้างมือให้สะอาด เทน้ำเกลือใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ใช้กระบอกฉีดยาดูดน้ำเกลือจนเต็ม ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก วิธีฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก ก้มหน้าเล็กน้อย หรืออยู่ในท่าศีรษะตรง สอดปลายกระบอกฉีดยาเข้าไปในรูจมูกข้างที่จะล้าง โดยวางปลายกระบอกฉีดยาชิดรูจมูกด้านบน หายใจทางปากหรือกลั้นหายใจ ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก จนน้ำเกลือและน้ำมูกไหลออกทางปาก หรือไหลย้อนออกมาทางจมูกอีกข้าง สั่งน้ำมูกพร้อมๆ กันทั้งสองข้าง (ไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง) บ้วนน้ำเกลือ และน้ำมูกส่วนที่ไหลลงคอทิ้ง บ้วนเสมหะในคอออก ทำซ้ำหลายๆ ครั้งในแต่ละข้างจนไม่มีน้ำมูกออกมา (หมายเหตุ: วิธีนี้ต้องใช้น้ำเกลือล้างจมูกจำนวนมาก) ควรล้างจมูกบ่อยแค่ไหน? อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งช่วงตื่นนอนตอนเช้า และก่อนเข้านอน หรือเมื่อรู้สึกว่ามีน้ำมูกมาก แน่นจมูก หรือก่อนใช้ยาพ่นจมูก แนะนำให้ทำในช่วงท้องว่าง เพราะจะได้ไม่เกิดอาการอาเจียน

2022-03-01 10:36:57