วิธีการเลือกลิปสติกสีที่เหมาะกับคุณ

คำนึงถึงโทนสีผิวของคุณ  1: ตรวจสีผิวของคุณในแสงธรรมชาติเพื่อวัดระดับผิวพรรณของคุณ: ผิวขาวซีด, ผิวขาวเหลือง, ผิวสองสี, ผิวแทน, ผิวคล้ำ โดยให้เน้นดูที่ผิวบริเวณสันกราม ผิวขาวซีด: ผิวหนังของคุณนั้นซีดหรือใส คุณจะแพ้แดดได้ง่ายมาก ผิวมักจะมีรอยตกกระหรือมีรอยแดง ผิวขาวเหลือง: ผิวของคุณออกขาว เวลาที่ตากแดด ผิวจะไหม้และอาจเป็นสีแทน ผิวสองสี: ผิวคุณจะเป็นสีแทนได้ง่ายและมักจะไม่ค่อยไหม้แดดหรือแพ้อะไรง่ายนัก  ผิวแทน: ผิวคุณจะเป็นสีแทนหรือสีน้ำผึ้ง ผิวคุณนั้นยากจะไหม้แดดและผิวยังดูออกสีแทนแม้ในหน้าหนาว ผิวคล้ำ: สีผิวของคุณนั้นเข้มและคุณจะไม่มีทางเกิดอาการผิวไหม้แดด สีผมก็จะออกดำขลับหรือไม่ก็น้ำตาลเข้ม 2: ดูที่สีของเส้นเลือดใหญ่บริเวณข้อพับ. นี่คือวิธีที่เร็วที่สุดในการตัดสินว่าคุณเป็นคนที่มีโทนสีผิวเป็นแบบโทนอุ่น โทนเป็นกลาง หรือโทนเย็น เส้นเลือดสีน้ำเงินหรือม่วงแสดงว่าคุณเป็นคนมีโทนผิวเย็น เส้นเลือดสีเขียวแสดงว่าคุณเป็นคนมีผิวโทนอุ่น ถ้าคุณมองแล้วตัดสินใจยากว่าเส้นเลือดนั้นออกสีม่วงหรือว่าเขียวกันแน่ คุณก็มีโทนผิวเป็นกลางและสามารถเลือกสีได้จากทั้งโทนอุ่นไปจนถึงเย็น คนที่มีผิวสีน้ำผึ้งมักจะมีผิวโทนเป็นกลาง 3: สังเกตว่าผิวคุณตอบสนองต่อการโดนแดดอย่างไร: ผิวคุณเป็นสีแทนหรือไหม้แดดได้ง่ายหรือไม่? ผิวที่ออกสีแทนได้ง่ายนั้นจะมีสารเมลานินในผิวมากเป็นตัวชี้ว่ามีผิวโทนอุ่น ผู้ใหญ่ผิวดำและพวกที่มีเชื้อสายอินเดียมักตกอยู่ในประเภทนี้ ถ้าหากผิวคุณเกิดไหม้แดดก่อนที่มันจะออกสีแทน (และบางทีผิวคุณอาจไม่มีทางออกสีแทนเลย) งั้นแสดงว่าผิวคุณมีเมลานินน้อยและคุณมีโทนสีผิวเป็นสีน้ำเงิน ถ้าคุณเป็นคนที่มีสีผิวออกคล้ำดำมาก คุณอาจตกอยู่ในประเภทผิวแบบนี้ 4: ลองทาบกับเครื่องประดับที่ทำจากเงินและทอง อย่างไหนจะดูดีกว่ากัน? เครื่องประดับที่ทำจากทองจะดูดีที่สุดบนผิวโทนอุ่น เครื่องประดับที่ทำจากเงินจะดูดีที่สุดบนผิวโทนเย็น ทั้งสองจะดูดีบนผิวโทนเป็นกลาง วิธีนี้จะเป็น “ตัวตัดสิน” ที่ดี ถ้าหากคุณยังตัดสินตามวิธีแต่ละข้อที่บอกไปแล้วไม่ได้สักที   เลือกสีที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน 1: หาสีที่เข้มกว่าสีริมฝีปากปกติของคุณสักเฉดหรือสองเฉด เพื่อจะทดสอบว่าเฉดสีนั้นใกล้เคียงกับสีธรรมชาติของคุณ ให้ทาลิปสติกเฉพาะตรงริมฝีปากล่าง เปรียบเทียบเฉดสีนั้นกับริมฝีปากบน ถ้าเฉดสีนั้นดูแตกต่างกันมากเกินไป คุณก็ต้องตามหาต่อไป 2: ตัดสินใจว่าคุณอยากให้ริมฝีปากดูเรียวบางหรือหนาอวบอิ่มขึ้น. เฉดที่เข้มจะทำให้ริมฝีปากคุณดูเล็กลง ในขณะที่เฉดสีอ่อนจะช่วยเพิ่มความอวบอิ่ม ลิปสติกที่เป็นสีด้านก็ช่วยให้ริมฝีปากดูบางลง ในขณะที่เฉดออกมันวาวจะทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม 3: ดูอันเดอร์โทนกับผิวพรรณของคุณ จำไว้ว่าอันเดอร์โทนกับสีผิวนั้นจะช่วยไกด์คุณ แต่มันไม่ใช่เป็นตัวจำกัดให้เลือกเฉพาะสีลิปสติกที่ว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคือได้ลองเฉดสีต่างๆ และที่สุดคือการเลือกในสิ่งที่ “คุณ” รู้สึกว่าทาแล้วออกมาดูดีที่สุด 4: ทดลองทาเฉดสีที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำตามสีผิวและโทนสีผิวของคุณ ถ้าคุณมีผิวขาวซีดหรือขาวเหลือง ลองสีชมพูอ่อน สีคอรัล สีพีช สีนู้ด หรือสีเบจ ถ้าคุณมีอันเดอร์โทนสีเย็น ลองสีมอคค่าและสีนู้ด อันเดอร์โทนสีอุ่นให้ลองสีชมพูซีดหรือสีนู้ดที่มีสีพีชแซม ถ้าคุณมีผิวสองสี ลองสีโรส สีม่วงซีด หรือสีเบอร์รี่ อันเดอร์โทนสีเย็น: ลองเฉดสีชมพูหรือแครนเบอร์รี่ อันเดอร์โทนสีอุ่น: ทดลองสีทองแดงหรือสีบรอนซ์ดู ถ้าคุณมีผิวแทน พยายามหลีกเลี่ยงสีน้ำตาลกับสีม่วงและให้ดูสีที่มีสีส้มเป็นอันเดอร์โทนแทน สีอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็ดูดี ให้ลองสีคอรัลหรือสีชมพูจัด คุณมีผิวคล้ำ ให้ลองสีน้ำตาลหรือม่วงอย่างสีวอลนัท สีคาราเมล สีพลัม และสีไวน์  อันเดอร์โทนสีเย็นควรมองหาสีแดงทับทิมและแดงไวน์ อันเดอร์โทนสีอุ่นลองทองแดงกับบรอนซ์  

2022-03-02 14:36:55

ตรวจโควิดด้วยตัวเอง ด้วยชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test Kit (ATK)

ตรวจโควิดด้วยตัวเอง ด้วยชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test Kit (ATK) ชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test Kit : เหมาะสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางเป็นประจำ หรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ กลุ่มผู้สูงวัย ผู้ที่มีภาวะอ้วน และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังต่างๆ เพื่อแยกกลุ่มผู้ติดเชื้อออกมาได้เร็วมากขึ้น แน่นอนว่าการตรวจโควิดด้วยตัวเอง (Home Use) นั้น จะช่วยให้เราสามารถรู้ผลโควิดได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลารอคิวเข้าตรวจ และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่แออัด โดยชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test Kit นี้ยังมีความแตกต่างกับการตรวจโควิดสำหรับบุคลากรการแพทย์ (Professional use Only) เปิดวิธีใช้ Rapid Antigen Test Kit (ATK) ตรวจโควิดด้วยตัวเอง พร้อมวิธีอ่านผลตรวจ ตรวจโควิดด้วยตัวเอง การเข้าถึงวิธีตรวจหาโควิดที่สะดวก รวดเร็ว และสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง อาจทำให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวังการเลือกซื้อ Rapid Antigen Test Kit โดยควรเลือกยี่ห้อที่ผ่านการรองรับจากองค์การอาหารและยา (อย.) เท่านั้น และเลือกซื้อตามร้านขายยาที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันชุดตรวจที่แปลกปลอม ในส่วนของการเตรียมตัวก่อนใช้ชุดตรวจโควิดด้วยตัวเองนั้นก็ไม่ยุ่งยาก ขั้นตอนตรวจโควิดด้วยตัวเอง ด้วยชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test Kit  เงยหน้าขึ้น ใช้ก้านสำลีสอดเข้าไปในจมูก และหมุนวนอย่างน้อย 5 รอบ (15 วินาที) นำเอาก้านไปจุ่มลงในหลอดสารสกัด แกว่งก้านสำลีอย่างน้อย 10 รอบ กดหลอดสารสกัดเพื่อบีบให้สารสกัดออกมากที่สุด ปิดฝาหลอดหยด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที หยดน้ำยาลงบนเครื่องตรวจตรงจุดที่กำหนด ประมาณ 3 หยด ปิดแผงตรวจ รอผลประมาณ 15-30 นาที (ห้ามอ่านผลก่อนหรือหลังจากที่ระบุไว้)

2022-03-02 11:08:14

ประโยชน์และวิธีการล้างจมูก

การล้างจมูกคืออะไร? การล้างจมูก คือ การทำความสะอาดโพรงจมูกโดยการใส่หรือหยอดน้ำเข้าไปในจมูก การล้างจมูกจะช่วยชะล้างมูก คราบมูก หรือหนองบริเวณโพรงจมูก และหลังโพรงจมูกออก ทำให้โพรงจมูกสะอาด น้ำที่ใช้แนะนำให้ใช้น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยลดความเหนียวของน้ำมูก และทำให้เชื้อโรคไม่เจริญเติบโต การล้างจมูกมีประโยชน์อย่างไร? ช่วยล้างมูกเหนียวข้นที่ไม่สามารถระบายออกได้เอง ทำให้โพรงจมูกสะอาด อาการหวัดเรื้อรังดีขึ้น ป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคจากจมูกและไซนัสไปสู่ปอด ช่วยลดจำนวนเชื้อโรค ของเสีย สารก่อภูมิแพ้และสารที่เกิดจากปฏิกิริยาของ ร่างกายที่มีต่อสารก่อภูมิแพ้ ให้ความชุ่มชื้นแก่เยื่อบุจมูก บรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ทำให้หายใจโล่งขึ้น บรรเทาอาการระคายเคืองในจมูก การล้างจมูกก่อนใช้ยาพ่นจมูกจะทำให้ยาพ่นจมูกมีประสิทธิภาพดีขึ้น การล้างจมูกทำอย่างไร? เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูก น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% ซึ่งหาซื้อได้จากโรงพยาบาลหรือตามร้านขายยา (น้ำเกลือที่ใช้เหลือให้เททิ้ง ห้ามนำกลับมาใช้ใหม่ หรือเทกลับเข้าขวดน้ำเกลือเดิม) ถ้วยสะอาดสำหรับใส่น้ำเกลือ กระบอกฉีดยาพลาสติก ภาชนะรองน้ำจมูกและเสมหะ กระดาษทิชชู วิธีล้างจมูก ล้างมือให้สะอาด เทน้ำเกลือใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ ใช้กระบอกฉีดยาดูดน้ำเกลือจนเต็ม ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก วิธีฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก ก้มหน้าเล็กน้อย หรืออยู่ในท่าศีรษะตรง สอดปลายกระบอกฉีดยาเข้าไปในรูจมูกข้างที่จะล้าง โดยวางปลายกระบอกฉีดยาชิดรูจมูกด้านบน หายใจทางปากหรือกลั้นหายใจ ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูก จนน้ำเกลือและน้ำมูกไหลออกทางปาก หรือไหลย้อนออกมาทางจมูกอีกข้าง สั่งน้ำมูกพร้อมๆ กันทั้งสองข้าง (ไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง) บ้วนน้ำเกลือ และน้ำมูกส่วนที่ไหลลงคอทิ้ง บ้วนเสมหะในคอออก ทำซ้ำหลายๆ ครั้งในแต่ละข้างจนไม่มีน้ำมูกออกมา (หมายเหตุ: วิธีนี้ต้องใช้น้ำเกลือล้างจมูกจำนวนมาก) ควรล้างจมูกบ่อยแค่ไหน? อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งช่วงตื่นนอนตอนเช้า และก่อนเข้านอน หรือเมื่อรู้สึกว่ามีน้ำมูกมาก แน่นจมูก หรือก่อนใช้ยาพ่นจมูก แนะนำให้ทำในช่วงท้องว่าง เพราะจะได้ไม่เกิดอาการอาเจียน

2022-03-01 10:36:57

การนอนกรน

นอนกรนเกิดจากอะไร อาการนอนกรนเกิดจาก การที่ช่องทางเดินหายใจส่วนต้นของเรา เกิดการตีบแคบลง ทำให้ลมหายใจที่ผ่านเข้ามาผ่านช่องที่แคบนี้ เกิดการกระพือ และกลายเป็นเสียงกรนขึ้น ดยปกติตามธรรมชาติ คนเราเมื่อนอนหลับ กล้ามเนื้อต่างๆ จะมีการหย่อนตัวหรือคลายตัวลง ซึ่งอวัยวะในช่องทางเดินหายใจของเรา เช่น เพดานอ่อน หรือโคนลิ้น ก็จะหย่อนลงมาทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลงได้ โดยเฉพาะเวลาที่เรานอนหงาย ทีนี้ พอช่องทางเดินหายใจมันแคบลง เวลาเราหายใจเอาอากาศเข้ามา ลมที่ผ่านช่องที่แคบนี้ ก็จะทำให้กล้ามเนื้อดังกล่าวเกิดการกระพือ (คล้ายๆ กับเวลาที่ลมเป่าลมผ่านหลอดเล็กๆ นั่นแหละครับ) เมื่อกล้ามเนื้อเกิดการกระพือ หรือสั่นสะเทือน ก็จะเกิดเป็นเสียงกรนขึ้น และนี่ก็คือสาเหตุของการนอนกรนนั่นเอง  สียงกรนที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่เกิดการสั่น เช่น ถ้าเกิดการสั่นที่เพดานอ่อน หรือลิ้นไก่ ก็จะทำให้เกิดเสียงกรนในลำคอ หรือถ้าเกิดการสั่นที่เนื้อเยื่ออ่อนด้านหลังโพรงจมูก ก็จะทำให้เกิดเสียงกรนแบบขึ้นจมูก เป็นต้น สาเหตุการนอนกรน ที่พบได้บ่อยๆ มีดังนี้ น้ำหนักตัวเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เบื้องต้นดูได้จากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ครับ ไขมันในช่องคอหนา ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ ก็ทำให้กล้ามเนื้อหย่อนได้ นอนกรนมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น สูบบุหรี่เป็นประจำ ความเหนื่อย กับการนอนกรน ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างมาก นอนหงายเป็นประจำ ช่องจมูกคด ช่องจมูกตีบตัน อาจเนื่องจากภูมิแพ้ การรับประทานยาบางชนิด ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองในทางเดินหายใจ สรีระผิดปกติ เช่น คางเล็ก ลิ้นไก่ใหญ่กว่าปกติ โคนลิ้นอ้วน เป็นต้น วิธีรักษานอนกรนด้วยหลักการแพทย์ หากท่านพบแพทย์ และทำการตรวจการนอนหลับแล้ว แพทย์มักแนะนำทางเลือกในการรักษานอนกรน ดังนี้ ใช้เครื่องอัดอากาศ CPAP ใช้ที่ครอบฟัน (Oral appliance) ผ่าตัด (Surgical Treatment) วิธีแก้อาการนอนกรนด้วยตัวเองแบบง่ายๆ นอกจากการรักษาโดยการพบแพทย์แล้ว ในเบื้องต้น ท่านอาจเริ่มทำตามวิธีต่างๆ ที่ผมกำลังจะบอกให้เหล่านี้ เพื่อแก้อาการนอนกรนด้วยตัวท่านเองก็ได้ครับ ซึ่งวิธีเหล่านี้ เป็นเพียงการแก้ไขเบื้องต้นเท่านั้น และใช้บรรเทาอาการกรนแบบธรรมดา ที่ไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย หากท่านมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ท่านต้องไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาตามหลักการแพทย์เท่านั้นนะครับ วิธีแก้นอนกรนด้วยตัวเอง เปลี่ยนท่านอน โดยมากท่านอนหงาย จะเป็นท่าที่ทำให้เกิดการกรนมากที่สุด ท่านอาจลองปรับมานอนตะแคงดูก็ได้ หรือถ้านอนตะแคงไม่ได้จริงๆ ก็ให้นอนหงายแต่พยายามหาอะไรมารองหนุนศีรษะ เพื่อยกระดับศีรษะตอนนอนให้สูงขึ้น ก็พอช่วยได้ครับ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ข้อนี้ทุกท่านควรทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะนอนกรนหรือไม่ก็ตาม การออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อในช่องทางเดินหายใจมีความแข็งแรงขึ้น ทำให้ขณะที่นอนหลับกล้ามเนื้อต่างๆ ในช่องคอ จะได้ไม่หย่อนลงมาขวางช่องทางเดินหายใจของเราได้ ลดน้ำหนัก อันนี้มีผลโดยตรง หากน้ำหนักเราลดลง ไขมันต่างๆ ในช่องคอก็จะลดลง ทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน งด ชา กาแฟ ก่อนนอน เลิกบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่นอกจากจะทำร้ายร่างกายของเราแล้ว อาจมีผลทำให้ระบบทางเดินหายใจของเราผิดปกติ และเกิดการกรนได้ ทำความสะอาดเครื่องนอนอย่างสม่ำเสมอ เช่น หมอน ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม เพราะสิ่งสกปรก หรือเชื้อโรคที่ติดอยู่ตามเครื่องนอนของเรานั้น อาจทำให้เกิดหอบหืด ภูมิแพ้ได้ ซึ่งทำให้ช่องทางเดินหายใจของเราตีบแคบ และเกิดเสียงกรนได้ครับ ลองเพิ่มความชื้นภายในห้องนอนของท่าน เช่น  หาแก้วหรือชามใส่น้ำมาวางไว้ข้างๆ เตียงนอน หรือซื้อเครื่องทำความชื้นมาไว้ในห้อง ล้างจมูกบ่อยๆ แนะนำให้ล้างด้วยน้ำเกลือ โดยใช้กระบอกฉีดยา ฉีดเข้าทางรูจมูกเป็นประจำก่อนนอน เพื่อทำให้จมูกโล่ง

2022-02-28 10:47:46

วิธีป้องกันฝุ่น PM 2.5

วิธีป้องกันฝุ่น PM 2.5 ด้วยตัวเอง ฝุ่น PM 2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่แค่ปล่อยไว้เดี๋ยวฝุ่นก็หายไปหรือไม่นานอาการจากการหายใจเอาฝุ่นเข้าไปมาก ๆ ก็จะดีขึ้น  รับมือกับฝุ่น PM 2.5 เมื่ออยู่นอกบ้าน หากจำเป็นต้องออกไปใช้ชีวิต เรียน ทำงาน หรือทำกิจกรรมใด ๆ นอกบ้านในช่วงที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้ สวมหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานและระบุชัดเจนว่าช่วยป้องกันฝุ่น PM 2.5 เช่น หน้ากากมาตรฐาน N95 หรือ KF94 จากแหล่งผลิตมาตรฐาน เนื่องจากหน้ากากอนามัยแบบทั่วไปหรือประเภทกันซึม (Surgical Mask) มักไม่สามารถกรองฝุ่นที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ได้  เลือกไปในสถานที่ที่มีคนน้อย ไม่แออัด และห่างไกลจากถนนที่มีการจราจรคับคั่ง หากต้องอยู่ในบริเวณที่มีฝุ่นละออง ควรจำกัดระยะเวลาการอยู่ภายนอกบ้านหรือการทำกิจกรรมกลางแจ้งให้น้อยลง  หากต้องการออกกำลังกายควรงดกิจกรรมหรือกีฬาประเภทที่ทำให้หายใจแรงหรือเร็วมาก เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน การเตะฟุตบอล หรือการเล่นแบดมินตัน เพราะอาจทำให้เราหายใจเอาฝุ่นเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น และควรหลีกเลี่ยงการสวมหน้ากาก N95 ขณะออกกำลังกายด้วย เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการขาดออกซิเจน หลีกเลี่ยงถนนหรือบริเวณริมถนนที่มีรถติดหรือสัญจรไปมาอยู่เสมอ เนื่องจากยานพาหนะบางประเภทอาจปล่อยควันดำหรือฝุ่น PM 2.5 ออกมาได้ ไม่เผาไม้ ใบไม้ ขยะ หรือกระดาษเงินกระดาษทองในที่โล่งแจ้งแม้จะเป็นขยะหรือกิ่งไม้กองเล็ก ๆ ก็ตาม เนื่องจากการเผาสิ่งของเหล่านี้สามารถสร้างฝุ่นละอองในอากาศให้มากขึ้น  ป้องกันฝุ่น PM 2.5 เมื่ออยู่ในบ้าน บางคนอาจคิดว่าแค่อยู่ในบ้านก็ปลอดภัยแล้ว แต่ที่จริงฝุ่น PM 2.5 สามารถเข้ามาในที่อยู่อาศัยของเราได้ จึงควรลดปริมาณฝุ่นละอองภายในบ้านด้วยวิธีต่อไปนี้ หากบ้านอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นละอองสูงควรปิดประตูหรือหน้าต่าง เพื่อป้องกันฝุ่นจากภายนอกเข้ามาในบ้าน  หาอุปกรณ์หรือตัวช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองหรือฟอกอากาศภายในบ้าน อาทิ เครื่องฟอกอากาศ หรือต้นไม้ขนาดย่อม ๆ   หมั่นเช็ดล้างและทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ให้สะอาด ปราศจากฝุ่นอยู่เสมอ หากต้องการใช้เครื่องดูดฝุ่นควรเลือกรุ่นที่มีแผ่นกรอง HEPA (High Efficiency Particulate Air) ซึ่งจะช่วยดักจับฝุ่น ควัน ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ หรือสิ่งแปลกปลอมในอากาศได้ดีกว่าแผ่นกรองทั่วไป  ไม่ควรสูบบุหรี่หรือประกอบอาหารที่ใช้ฟืนหรือถ่าน เพื่อลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอากาศ    อ้างอิง :https://www.pobpad.com

2022-02-28 10:46:53

ขั้นตอนการลงสกินแคร์อย่างถูกต้อง

ขั้นตอนที่ 1 : Makeup Remover เราต้องมาเริ่มกันที่การคลีนผิวหน้าก่อนเลยค่ะ ในตอนกลางคืนเราก็อาจจะต้องใช้ Makeup Remover ในการเช็ดเครื่องสำอาง ฝุ่น หรือสิ่งสกปรกบนใบหน้ากันก่อน เพราะทั้งวันเราเจอมลภาวะ สิ่งสกปรกเยอะมาก ควรจะเช็ดออกให้หมด แต่ในตอนเช้าอาจจะไม่ต้องใช้ตัวนี้นะคะ ส่วนในเรื่องการเลือก Makeup Remover เราก็แนะนำว่าให้เลือกตัวที่เหมาะกับสภาพผิวเราค่ะ และควรจะแยกใช้ตัวที่เช็ดเฉพาะส่วนอย่างรอบดวงตา และริมฝีปากด้วย เพราะเค้าเป็นส่วนที่บอบบางมาก อาจจะระคายเคืองได้ง่าย ขั้นตอนที่ 2 : Cleanser หลังจากเช็ดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกบนใบหน้าไปแล้ว ต่อไปเราก็ต้องมาล้างหน้ากันค่ะ และ Facial Cleanser ก็มีหลากหลายแบบมาก ทั้งเป็นโฟม เป็นเจล หรือแม้แต่สบู่ ดังนั้นเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของเรา ขั้นตอนที่ 3 : Toner หลังจากทำความสะอาดใบหน้าแล้ว เราก็จะลง Toner เพื่อเปิดรูขุมขน และปรับสภาพผิวให้พร้อมรับการบำรุงต่อ เพื่อให้สกินแคร์ที่เราใช้หลังจากนี้ซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น แถมยังช่วยสร้างสมดุลให้กับผิวหน้าของเราด้วยค่ะ ถ้าใครยังสงสัยในเรื่องของโทนเนอร์ & คลีนซิ่งต่างกันอย่างไร ขั้นตอนที่ 4 : Spot Treatment ต่อไปจะเป็นการบำรุงผิวเฉพาะจุด หรือ Spot Treatment ค่ะ บำรุงผิวเฉพาะจุดก็จะเป็นจำพวกครีมทาสิว ครีมทารอยจุดด่างดำ รอยแผลต่างๆ ที่เราต้องการการบำรุงแบบเฉพาะจุดนั่นเองค่า สาเหตุที่เราต้องทาเฉพาะจุดก่อนลงสกินแคร์ตัวอื่น เพราะว่าควรให้เนื้อสกินแคร์สัมผัสกับผิวโดยตรงมากที่สุด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุดนั่นเองค่ะ ขั้นตอนที่ 5 : Eye Cream เราคิดว่าอายครีมอาจจะเป็นหนึ่งใน List ของการทาสกินแคร์เฉพาะจุดด้วยนะการทาอายครีมก็สำคัญมากนะคะเพราะหากใต้ตาดำจะทำให้ดูไม่มีชีวิตชีวาและดูอ่อนล้า ขั้นตอนที่ 6 : Essence/Serum บางคนก็จะมีตัว Pre-essence ลงก่อน เพื่อปรับสภาพผิวอีกครั้งหลังจากเช็ดโทนเนอร์ ขั้นตอนนี้ก็ถือว่ามีความสำคัญมากเลยนะคะทุกคน เพราะหลายๆตัวเค้ามีคุณสมบัติช่วยให้ใบหน้าเราสามารถรับการบำรุงเพิ่มมากขึ้น แถมยังทำให้ผิวชุ่มชื่นอิ่มน้ำด้วยค่ะ ขั้นตอนที่ 7 : Day/Night Cream เนื่องจากว่าเนื้อครีมส่วนมากจะมีความเข้มข้น และหนาแน่นที่สุด เราเลยต้องใช้ในขั้นตอนท้ายๆของการลงสกินแคร์ และขั้นตอนนี้แหละที่ทำให้ผิวหน้าเราได้รับการบำรุงสูงสุด อย่าลืมเลือกครีมให้เหมาะกับปัญหา และสภาพผิวของเรา ขั้นตอนที่ 8 : Sunscreen ขั้นตอนนี้ข้ามไปไม่ได้เลยเพราะสำคัญมาก หากไม่ทากันแดดผิวเราจะไหม้ เสีย และทำให้เกิดฝา กระ หากไม่ทาและต้องอยู่ในที่แดดแรงอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ดังนั้น ขั้นตอนนี้สำคัญมากลืมไม่ได้เลยนะคะ    

2022-02-28 10:46:00

การลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด

การลดน้ำหนักตามกรุ๊ปเลือด ระบบการทำงานภายในร่างกายก็แตกต่างกันไปตามกรุ๊ปเลือด ซึ่งการจะ ลดน้ำหนัก หรือเลือก กินอาหาร นั้น ก็ควรเลือกให้เหมาะหรือสมดุลกับกรุ๊ปเลือดค่ะ เพราะจะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้ร่างกายมีความสมดุลมากขึ้นด้วย กรุ๊ป A ร่างกายของสาวกรุ๊ป A จะย่อยโปรตีนจากสัตว์ค่อนข้างยาก แต่สามารถย่อยคาร์โบไฮเดรตได้ดี อีกทั้งคนกรุ๊ป A ยังมี Stress Hormone หรือฮอร์โมนความเครียดค่อนข้างสูง ซึ่งถ้าเครียดเมื่อไหร่ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนนี้ออกมามากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้ล่ะค่ะจะไปกระตุ้นเซลล์ในร่างกายให้เก็บไขมันมากขึ้น ที่สำคัญร่างกายจะรู้สึกอยากอาหารโดยเฉพาะอาหารที่เป็นไขมันมากขึ้นด้วย ฉะนั้นบอกเลยค่ะว่า คนกรุ๊ปนี้ ยิ่งเครียด ก็จะยิ่งอ้วน! ซึ่ง การลดน้ำหนักที่ดีที่สุดของคนกรุ๊ป A ก็คือการกินผักผลไม้ให้มากขึ้น นั่นเองค่ะ อาหารที่ควรกิน: ผักใบเขียว, บล็อคโคลี, แครอท, ผักกาดหอม, กระเทียม, คะน้า, หอมใหญ่, ฟักทอง, ผักโขม, ผักชี, หัวไชเท้า, น้ำมันที่สกัดจากผัก เช่น น้ำมันมะกอก, ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแมคเคอเรล ปลากระพงแดง ปลากระพงขาว ปลาแซลมอน, ถั่ว, ข้าวโอ๊ต, เมล็ดฟักทอง, ผลไม้ประเภทเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ เชอร์รี่, น้ำผลไม้ เช่น สับปะรด พรุน แครอท และชาสมุนไพร เช่น จินเส็ง ชาเขียว ชาคาร์โมมายล์ อาหารที่ควรเลี่ยง: เนื้อสัตว์สีแดง, นม, โยเกิร์ต, ไข่, กระหล่ำปลี, มะเขือยาว, มะเขือเปราะ, มะเขือเทศ, มันฝรั่ง คนกรุ๊ป B:มีระบบย่อยอาหารที่ค่อนข้างสมดุลมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่นๆ ค่ะ สามารถกินอาหารได้หลากหลายประเภทหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ นม ไข่ หรือผักต่างๆ แต่ที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ เนื้อไก่ เพราะเป็นอาหารที่มีเลคตินโปรตีนค่อนข้างสูง ซึ่งหากมีเลคตินมากจะเป็นอันตรายต่อระบบเลือดได้ค่ะ ฉะนั้น การลดน้ำหนักที่ดีที่สุดของกรุ๊ป B ก็คือ การกินอาหารทุกอย่างอย่างสมดุล นั่นเองค่ะ อาหารที่ควรกิน: อาหารประเภทนม เนย และไข่ แต่ควรเน้นแบบ Low Fat, ผักสีเขียวทั้งหลาย, ปลาน้ำลึก เช่น ปลาหิมะ ปลาจาระเม็ด, น้ำนมข้าว, ข้าวโอ๊ต, น้ำมันมะกอก และผลไม้เกือบทุกชนิด อาหารที่ควรเลี่ยง: เนื้อหมู เนื้อไก่ หอยเชลล์ เพราะมีเลคตินโปรตีนที่อันตรายต่อระบบเลือดและสมอง, ถั่วต่างๆ และอาหารทุกชนิดที่ทำจากแป้งสาลี ข้าวโพด เพราะไม่ดีต่อระบบเผาผลาญ ผักและผลไม้ที่ควรเลี่ยง เช่น มะเขือเทศ ข้าวโพด มะเฟือง ทับทิม เพราะมีผลต่อระบบย่อยอาหาร  คนกรุ๊ป O:ควรลดน้ำหนักด้วยการกินอาหารที่มีโปรตีนและไอโอดีนสูง เช่น อาหารทะเล หรือสาหร่ายทะเลเพิ่มขึ้น  อาหารที่ควรกิน: เนื้อแดง, อาหารทะเล เพื่อป้องกันโรคไทรอยด์และอาการเลือดไม่แข็งตัว (แต่ควรระวังเรื่องคอเลสเตอรอลด้วยนะคะ) ผักต่างๆ ที่ดีมาก คือบล็อคโคลี และถั่วกินได้เกือบทุกชนิด, ชาสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ชาขิง, ผลไม้กินได้เกือบทุกชนิด ยกเว้น ส้ม อาหารที่ควรเลี่ยง: เนื้อหมู, แฮม, ผักตระกูลกะหล่ำ เพราะมีผลต่อไทรอยด์, อาหารที่ทำจากแป้งสาลี เพราะมีผลต่อการย่อยอาหาร, น้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี, ชาและกาแฟ เพราะจะยิ่งเพิ่มกรดในระบบย่อยอาหาร  กรุ๊ป AB: มีลักษณะที่เป็นส่วนผสมของคนกรุ๊ป A และ กรุ๊ป B เข้าด้วยกันค่ะ โดยมีกรดในกระเพาะต่ำเหมือนสาวกรุ๊ป A แต่สามารถกินอาหารได้หลากหลายเหมือนสาวกรุ๊ป B ฉะนั้น การลดน้ำหนักที่ดีของสาวกรุ๊ปนี้ จึงต้องเป็นการกินผักหรือมังสวิรัติหน่อยๆ ผสมผสานไปกับการกินให้สมดุลแบบสาวกรุ๊ป B และการออกกำลังกายที่เหมาะกับคนกรุ๊ป AB นั้นจะเป็นประเภทแอโรบิก หรือการออกกำลังกายแบบเบาๆ อย่างโยคะ จึงจะให้ผลดีที่สุดค่ะ อาหารที่ควรกิน: ปลาต่างๆ ยกเว้น ปลาเนื้อขาว, นม, เนย, ไข่, โยเกิร์ต และชีสสามารถกินได้ แต่ในปริมาณที่พอเหมาะ, ข้าวโอ๊ต, อาหารต่างๆ ที่ทำจากแป้งสาลี, ผักกินได้เกือบทุกชนิด เน้นบล็อคโคลี แตงกวา และผักใบเขียว, เห็ด, กระเทียม, ผลไม้ที่ควรกิน เป็นพวกองุ่น เชอร์รี่ สับปะรด เลมอน กีวี จะช่วยย่อยและล้างลำไส้, ชาสมุนไพร เช่น ชาเขียว ชาคาโมมายล์ อาหารที่ควรเลี่ยง: เนื้อสัตว์ประเภทเนื้อวัว เนื้อหมู ปลาหมึก เป็ด ห่าน เพราะย่อยยาก, ถั่ว ข้าวโพด แป้งข้าวโพด เพราะจะไปชะลอการทำงานของอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดอาจลดลงได้อย่างเฉียบพลัน, ผลไม้ เช่น มะม่วง ฝรั่ง กล้วย มะพร้าว อะโวคาโด, พริกไทยดำ, น้ำส้มสายชู, เครื่องดื่มอัดแก๊สและโซดา

2022-02-28 10:45:11

5 สูตรเครื่องดื่มช่วยเผาผลาญ

5 สูตรเครื่องดื่มช่วยเผาผลาญ น้ำผึ้ง + อบเชย      น้ำผึ้งมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำหนัก และเมื่อดื่มในขณะท้องว่างยามเช้า ก็จะเป็นการช่วยเร่งระบบเผาผลาญของร่างกาย ซึ่งการเผาผลาญถือเป็นสิ่งสำคัญในการลดน้ำหนักเลยก็ว่าได้ค่ะ ในขณะที่ชินนามอนหรืออบเชย ก็ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนผสมในการช่วยเผาผลาญไขมันได้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน วิธีทำ ใส่ผงชินนามอนหรืออบเชยลงในแก้ว เติมน้ำผึ้งลงไป ใส่น้ำอุ่นลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากัน อบเชย + ชาเขียว      อบเชยยังถือได้ว่าเหมาะกับชาเขียวด้วยเช่นกันค่ะ ซึ่งเมื่อดื่มด้วยกันแล้วจะช่วยลดอาการผิดปกติของระบบย่อยอาหารและกระเพาะอาหารได้ดี อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการย่อย สลายและดูดซับสารอาหาร รวมถึงยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและบำรุงสุขภาพหัวใจได้อีกด้วยค่ะ วิธีทำ แช่อบเชยแท่งในน้ำชาเขียวร้อน ประมาณ 5 นาที สามารถใส่มะนาวหรือน้ำผึ้งเพื่อเพิ่มรสชาติได้ กรองเยื่อออก จนได้น้ำชาใสพร้อมดื่ม ชาเขียว + ขมิ้น      ชาเขียวเมื่อดื่มคู่กับขมิ้นก็มีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้ดีเช่นกันค่ะ รวมถึงยังช่วยดีท็อกซ์ร่างกายและต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย เพราะชาเขียว เรียกได้ว่าอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาชนิดอื่นๆ นั่นเอง อีกทั้งดื่มแล้วยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ดี จึงทำให้สามารถช่วยลดน้ำหนักได้นั่นเองค่ะ วิธีทำ ต้มชาเขียว ประมาณ 5 นาที แล้วพักไว้ให้เย็น ใส่ผงขมิ้นลงไป แล้วคนให้เข้ากัน สามารถใส่อบเชย หรือ โป๊ยกั๊ก ลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติได้ กรองเยื่อออก จนได้น้ำชาใสพร้อมดื่ม ขมิ้น + พริกไทย      ขมิ้นยังสามารถจับคู่กับพริกไทยได้ด้วยนะคะ บอกเลยว่าประโยชน์เพียบ ดื่มแล้วดีต่อสุขภาพ สามารถช่วยในเรื่องของการย่อยอาหาร ลดอาการอักเสบต่างๆ รวมถึงยังช่วยต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่เรียบง่ายแต่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายได้ดีสุดๆ ค่ะ วิธีทำ ต้มน้ำ 300-500 มล. ให้อุ่น ใส่ขมิ้นและพริกไทยลงไป สามารถใส่มะนาวเพื่อเพิ่มรสชาติได้ คนจนส่วนผสมเข้ากัน   สับปะรด + ชาเขียว      ชาเขียวยังสามารถจับคู่กับผลไม้อย่างสับปะรดได้ด้วยนะคะ เรียกได้ว่าดื่มแล้วมีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้ดีสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ เนื่องจากส่วนผสม 2 อย่างนี้จะช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้ไม่ต้องกินเยอะจนเสี่ยงน้ำหนักขึ้น รวมถึงยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ เร่งการลดน้ำหนักได้อีกด้วย วิธีทำ เติมชาเขียวอุ่นๆ ครึ่งถ้วย ลงในน้ำสับปะรดครึ่งถ้วยตวง สามารถใส่แอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ช้อนชาได้เพื่อเพิ่มรสชาติ แนะนำให้ดื่มตอนชากำลังอุ่นๆ  

2022-02-28 10:44:05

เลือกกีฬาตามช่วงอายุ

เลือกกีฬาตามช่วงอายุ วัยเด็ก อายุ 1-10 ปี    กล้ามเนื้อและกระดูกยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ออกกำลังกายติดต่อกันได้ไม่นานก็จะรู้สึกเหนื่อย ร่างกายต้องการพักผ่อนมาก ชอบการอยู่รวมเป็นกลุ่ม เล่นกับเพื่อนหลายๆคน     กีฬาที่เหมาะ ควรให้ทำร่วมกันเป็นหมู่คณะ เน้นกิจกรรมที่ให้เด็กได้ฝึกใช้ความสัมพันธ์ของมือ สายตา เท้า และได้เคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา เช่น วิ่ง กายบริหาร เกมเบ็ดเตล็ด ปีนป่าย ว่ายน้ำ ยืดหยุ่น เป็นต้น วัยรุ่น อายุ 11-16 ปี    ร่างกายเด็กกำลังเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มสาว โดยเด็กผู้หญิงจะมีพัฒนาการทางกายมากกว่าเด็กผู้ชายในระยะเริ่มต้น แต่ในช่วงปลายเด็กผู้ชายจะเจริญเติบโตมากกว่า ด้านจิตใจ เด็กวัยนี้จะเริ่มจับกลุ่มโดยแยกหญิง-ชาย และชอบกิจกรรมที่ต้องแข่งขัน ชอบการผจญภัย    กีฬาที่เหมาะ เน้นความคล่องแคล่ว ว่องไว หรือฝึกให้ใช้ทักษะเฉพาะอย่าง เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล แบดมินตัน  วัยหนุ่มสาว อายุ 17-35 ปี    ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างสมบูรณ์แบบและไม่จำกัด แต่สมรรถภาพทางร่างกายจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าได้รับการดูแลอย่างไรในวัยเด็ก ผู้ที่ต้องการเป็นนักกีฬาสามารถฝึกร่างกายและทักษะทางการกีฬาได้อย่างเต็มที่ ทุกรูปแบบในช่วงนี้ วัยกลางคน อายุ 36-55 ปี    ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น ต้องการการพักผ่อนมากขึ้น ความทนทานของร่างกายเริ่มลดลง กีฬาที่เหมาะ ควรเป็นกิจกรรมที่เคลื่อนไหวที่ช้า เน้นความเพลิดเพลิน ความสบายใจ และปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น จ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน กายบริหารต่างๆ วัยสูงอายุ อายุตั้งแต่ 56 ปี ขึ้นไป    เริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุ สมรรถภาพทางกายโดยรวมลดลง สภาพจิตใจจึงแย่ตามไปด้วย ควรเน้นการออกกำลังกายที่ฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรง หรือรักษาสุขภาพโดยรวมให้ดีอยู่เสมอ เพราะจะช่วยให้ผู้สูงอายุได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สภาพจิตใจจะสดชื่น แจ่มใสขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วย    กีฬาที่เหมาะ ควรเป็นกิจกรรมเบาๆ ไม่มีการปะทะ เคลื่อนไหวร่างกายอย่างราบรื่น ไม่มีเปลี่ยนจังหวะหรือทิศทางกะทันหัน เช่น เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ไทเก็ก โยคะ พีลาทิส เต้นแอโรบิกแบบแรงกระแทกต่ำ( low impact) เป็นต้น เลือกกีฬาตามหลักสรีระ    ชายและหญิงมีความแตกต่างกันทั้งทางกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา ตอนเป็นเด็ก อายุ 2-10 ปี ความสามารถทางกีฬาอาจไม่แตกต่างกันมาก แต่พออายุ 10-14 ปี ร่างกายผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อมากขึ้น กระดูกใหญ่และแข็งแรงกว่า    ในขณะที่ผู้หญิงก็เริ่มมีประจำเดือน บางครั้งก็ปวดท้อง หงุดหงิดง่าย รูปแบบของการออกกำลังกายของผู้หญิงจึงควรเป็นแนวเพื่อสุขภาพ และทรวดทรงที่สวยงามมากกว่าการแข่งขัน เช่น ว่ายน้ำ ยิมนาสติก เต้นแอโรบิก โยคะ แบดมินตัน เป็นต้น ส่วนเพศชายสามารถเลือกเล่นกีฬาได้ทุกรูปแบบ

2022-02-28 10:43:06